วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จอมกระแนะ กระแหน 13/11/50

รสดีเด็ด

สัปดาห์ก่อนไปกรุงเทพมาครับ  หลังจากที่ห่างหายไม่ได้ไปเยี่ยมเมืองหลวงมานาน  กรุงเทพนาทีนี้ ยังคงเป็นกรุงเทพเหมือนเดิมสำหรับ ความคิดของผม คือไม่น่าอยู่  ชีวิตผู้คนสับสนวุ่นวาย จะไปไหนแต่ละที ต้องใช้วิชาบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้อง  ออกกี่โมง  ไปถนนไหน  โทรศัพท์หาเพื่อนตลอดเวลาว่า เพื่อเช็คว่า ตัวเองยังไม่หลงทาง
                ชีวิตแบบเด็กดอย ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงที่จะพำนักอาศัยในบางกอกแห่งนี้
                ไปครั้งนี้ได้พบสัจธรรมอีกข้อ สำหรับความแตกต่างระหว่าง กรุงเทพกับเชียงใหม่
                นอกเหนือจากห่างกันด้วยระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ผมยังพบข้อเท็จจริงอีกอย่างว่า เงินที่กรุงเทพ  ใบเล็กกว่าเงินที่เชียงใหม่
                กินข้าว ชามละ 30 บาท  จะได้คุณค่าและปริมาณเท่ากับ 17 เคี้ยว 4 กลืน  วูบเดียวก็เกลี้ยงจานแล้ว
                ยิ่งถ้ามาเทียบกับอัตราการท่องราตรีที่กรุงเทพกับเชียงใหม่  ยิ่งเห็นความแตกต่างได้เด่นชัด  นัดเพื่อนที่กรุงเทพสังสรรค์ ที่ร้านดังแถวหลังสวนฯ  ในฐานะบ้านนอกเข้ากรุง เลยถือคติที่ว่า  ไปถึงก่อนเป็นยอดมนุษย์  นั่งแท็กซี่จากที่พักไปตั้งแต่เย็นย่ำตะวันตกดิน  เข้ามาร้านเปิดเมนูสั่งเหล้า  เห็นราคาแล้วต้องสะบัดหน้า  รีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนว่า ราคาที่เขียนในเมนูนั้นราคาเป็นเงินบาทหรือว่าเงินกีบ   ก่อนเสียงตอบมาตามสายว่าเงินบาทพันเปอร์เซ็นท์ครับ...คุณเสี่ยว
กลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วยอมสั่งเหล้าวิเศษมา 1 ขวด พร้อมสมองเริ่มคำนวณ บวก ลบ คูณ หาร ก่อนจะได้คำตอบสุดท้ายที่ว่า  อัตราส่วนสำหรับการกินเหล้าที่กรุงเทพ 1 เมา เท่ากับ  6 เมาที่บ้านเกิด
คืนนั้น รู้รสชาติของชีวิตการกินเหล้าที่ว่า  ไม่เมา แต่...ต้องเมาเพราะถ้าไม่ยังขืนทำตัวไม่เมาต่อไปอีก เงินในกระเป๋าอาจจะอันตรธานหายไปในพริบตา  จนอาจจะทำสถิติใหม่ที่ว่า  ค่าเหล้าเท่ากับเงินเดือน
เดินแฉลบไปแถวมาบุญครอง  ข้ามมาฟากสยามฯ ผมเจอความท้าทายครั้งใหม่  ถือเป็นประสบการณ์ตรงที่ต้องนำเล่าขาน  ใครที่เคยไปแถวนั้น ถ้ามีโอกาสเดินเล่น ผมขอแนะนำไปชิมอาหารร้านดังร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชา ร้านรสดีเด็ด  ไปไม่ถูกถามคนแถวนั้น รับรองว่าชี้นิ้วบอกได้ทุกคน
ลิ้นจระเข้อย่างผม มีโอกาสไปนั่งลิ้มชิมรสกับเพื่อน นั่งหย่อนก้นปุ๊ป   อาเฮียใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงขาสั้น คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้าน เดินโฉบเข้ามารับออเดอร์ทันที  เพื่อนผมนั่งมองเมนูที่เขียนติดอยู่ตรงผนัง  พร้อมกับเอ่ยปากตามมารยาทว่ารอแป๊ปนึง นะครับ  
เสียงสวนกลับมาทันที เหมือนเครื่องตอบกลับอัตโนมัติ ไม่เป็นไร  เมื่อไหร่ก็ด้ายยยย   ว่างอยู่แล้ว  พร้อมสั่งเมื่อไหร่ ตะโกนบอกได้เล้ยยย พูดจบพร้อมกับเดินจากไป  ทิ้งไว้เพียงแค่ผมกับเพื่อนที่ยังทำหน้าแมวสงสัยว่า อาเฮียแกเล่นมุขหรือว่าชีวิตจริง
ไตร่ตรองเสร็จ  เรียกเฮียกลับมารับออเดอร์  ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมของผมแต่ชาติปางก่อนหรือไม่  ที่ยังไม่”GET”  ผมดันสั่ง เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อสดไม่ใส่ถั่วงอก  เหมือนเจอร์ราร์ดเตะสุกรเข้าปากสุนัข   ปฏิบัติการเสียดสีลูกค้าเริ่มต้นอีกครั้ง 
อาเฮียส่งเสียงดังลั่นกลางร้าน ประมาณว่าทุกคนต้องรู้ และต้องเข้าใจ ก่อนหันหน้าไปสั่งลูกน้องที่ลวกก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ชิ้นสด  ไม่งอก.......  กินถั่วงอกไม่เป็น....ดีเหมือนกัน....ไม่ต้องปลูก
แหม....หน้าชาไปหน่อย  แต่ยังพอรับได้  เพราะถ้าเฮียเกิดของขึ้นตะโกนว่าเส้นหมี่ชิ้นสด   ....ของเด็กสงสัยต้องเอาหน้ามุดโต๊ะในบัดดล
ก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวด้วยความรัดทด  แต่ใจชื้นขึ้นมาบ้าง  เพราะเริ่มสังเกตว่า ลูกค้าของอาเฮียแต่ละคน  เป็นต้องโดนปฏิบัติการนี้ ไม่มากก็น้อย  คละเคล้ากันไป   เสียงเฮียยังคงเป็นเสน่ห์ดังกังวานเป็นเอกลักษณ์ต่อไป  เฮ้ย....เส้นเล็กรวม    ไม่เอาเส้นใหญ่  ถ้ามีเส้นใหญ่กูกินเอง...ฯลฯ
ผมอมยิ้มกินก๋วยเตี๋ยวต่อไป  แต่ยังดันพลาดอีกช๊อต เพราะดันสั่งต่อเส้นหมี่ลูกชิ้น ไม่งอก..เฮีย
ซึนามิ เข้ามาถล่มผมอีกระลอก  เสียงตะโกนจากข้างหลังผมเส้นหมี่ชิ้น  ไม่งอกอีกชามโว๊ย.....เหอ  เหอ   ไม่งอก....เหอ  เหอ  ไม่กินถั่วงอกเสียงเหยียดหยัน  ถากถาง  จนผมเพิ่งรู้ตัวว่าบางครั้งถ้าอยากมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้  ผมต้องหัดกินถั่วงอกตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคไหนอยากทำลายความมั่นใจพรรคคู่แข่ง  ผมขอแนะนำไปดึงตัวอาเฮียจอมกระแนะกระแหนแห่งสยามฯมาเข้าก๊วน  รับรองว่าเห็นผลใน 3 วัน 7 วัน แน่นอน
                                                                                                กุนซือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น