วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกาะปีกซิลค์ แอร์( พ.ศ.2545 )

        

         ผมสะพายเป้กระโดดขึ้นนกเหล็กซิลค์ แอร์ ไฟล์ต MI 701 จุดมุ่งหมายที่สิงคโปร์  ตามคำเชิญของการท่องเที่ยวของสิงคโปร์  ทริปนี้ค่อนข้างจะพิเศษอยู่ซักหน่อย เพราะอัดแน่นไปด้วยบรรดาตัวแทนจากเอเย่นต์ทัวร์ ทั้งเชียงใหม่และเชียงราย  ทั้งหมดรวม 17 คน โดยมี คุณอุ๋งศศิวิมล  หมู่ชาวใต้ จากซิลค์ แอร์ รับบทหัวหน้าทัวร์
          ไฟล์ตนี้บินตรงจากสนามบินเชียงใหม่ไปถึงสนามบินชางฮี ของสิงค์โปร์ ไม่ต้องจอดแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไหนให้เสียเวลา ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกใหม่ของคนเหนือถ้าต้องการไปสิงคโปร์ ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน  เดินทางไปเริ่มต้นที่ดอนเมือง เหมือนกับอดีต
          ขนาดความจุผู้โดยสาร 106 ที่นั่ง ไม่ใหญ่ ไม่เล็กเกินไปนัก สำหรับคนเดินทาง  ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 55 นาที เท่านั้น  เรียกว่างีบเดียว ก็ถึงแล้ว  แต่สัปดาห์หนึ่งมีแค่ 4 ไฟล์ต คือวันอังคาร,พฤหัสฯ,ศุกร์แล้วก็วันอาทิตย์
          ผมเองเคยมาสิงคโปร์เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน มาครั้งนี้เลยอยากจะดูว่า 10 ปีที่ผ่านมาสิงคโปร์  โตพรวดพราดขนาดไหน  พอเครื่องร่อนลงแตะสนามบินชางฮี เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว  ต้องบอกได้คำเดียวว่า น่าเป็นห่วง อภิมหาโครงการ 7 ชั่วโคตรหนองงูเห่าของเราขึ้นมาทันที
ชางฮีวันนี้ ใหญ่โต กว้างขวาง  สะดวกสบาย  แถมยังต่อเติมสร้าง TERMINAL ที่ 3 ขึ้นมา คาดว่าปีหน้าน่าจะเสร็จ ระบบขนส่งต่อท่อ เข้ามาจ่อที่สนามบิน เพื่อขนผู้โดยสารเข้าไปในเมือง ได้อย่างรวดเร็ว
ไกด์ชาวสิงคโปร์มิสเตอร์  CHONG KUEN CHING ที่เราเรียกแกสั้นๆว่า เค.ซี พาคณะตะลอนทัวร์จากไทยแลนด์ นั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบินเข้ามาใจกลางเมืองแถวย่านORCHARD สวรรค์ของนักช๊อปสินค้ามียี่ห้อทั้งหลาย จ่ายกันไปคนละ 2.60 ดอลล่าร์สิงคโปร์ เอา 24.60 บาทเข้าไปคูณก็ประมาณ 64 บาท ก็เข้ามาเดินเล่นใจกลางเมืองได้แล้ว
หลังจากจัดแถวตั้งขบวนกันได้ก็สตาร์ทโปรแกรมตะลุยทัวร์ทันที ที่แรกที่ไปก็คือไปดูย่านคนมุสลิม ซึ่งตอนนี้คึกคักหลังตะวันตกดิน เพราะกำลังอยู่ในช่วงถือศีลอดของคนอิสลาม พอตะวันตกดินปุ๊ป  ไม่รู้ว่าคนมาจากไหนเดินกันให้เต็มพรืดไปหมด เสียงตะโกน เสียงพูดลอยมาจากร้านค้า  ร้านอาหาร  แผงลอย  สร้างบรรยากาศ สีสันได้อีกแบบ ผมเดินเลียบๆเคียงๆไปดูแผงลอยที่ขายอาหารมุสลิม  เห็นหลายอย่างแล้วน้ำลายสอขึ้นมาทันที แต่พอเห็นคนเยอะขนาดนั้น มาบวกลบคูณหาร ดูแล้ว ถ้าตะกายแหวกวงล้อมไปเข้าซื้อ  สงสัยจะต้องเป็นลมก่อน เลยตัดใจถอยฉากออกมาหยั่งเชิงอยู่ด้านนอกแทน
กลับมาถึงโรงแรม PLAZA HOTEL ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ผมเองตั้งใจตั้งแต่ก่อนมาว่าจะขอไปนั่งกินเบียร์ ชมวิว แถวBOAT QUAY  แหล่งบันเทิงที่เลื่องชื่อของสิงคโปร์ พอกระซิบถามรูมเมท สมชาย  แสนหมี่ จากสแตนดาร์ดทัวร์ เค้ายกมือขอบาย  เพราะเหนื่อยขอตัวพักผ่อน   ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนกลางอากาศ หันหน้าเดินออกจากโรงแรม เลี้ยวขวาไปเที่ยวไทยทาวน์ โกลเด้น  ไมลล์แทน  เพราะที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของคนงานไทยที่มาทำงานที่สิงคโปร์  เรียกว่าใครที่มาสิงคโปร์แล้วเกินอาการโฮมซิก เดินไปเที่ยวที่โกลเด้น   ไมลล์ ได้เลย  รับรองว่า โรคคิดถึงเมืองไทย หายไปเป็นปลิดทิ้ง  มีทั้งร้านขายของชำที่มาจากเมืองไทย ร้านอาหารไทย  เบียร์ไทย ฯลฯ
ผมค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามถนน กว่าจะเดินไปถึงก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มเข้าไปแล้ว หลายร้านทยอยกันปิด เหลืออยู่ประมาณ 3-4 ร้านเท่านั้น  ลูกค้าก็โหรงเหรง เพราะเป็นวันศุกร์  เข้าไปนั่งดื่มเบียร์ได้ประมาณหนึ่งขวด ก็ไปเจอคนงานไทยคนหนี่งที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ มองกันไป มองกันมา จนในที่สุดอดไม่ได้ผมเลยชวนให้มานั่งโต๊ะเดียวกัน  เพราะแกก็มาคนเดียว  ผมก็มาคนเดียว  หัวเดียวกระเทียมลีบทั้งคู่ เลยต้องอิงภาษิต คนเดียวหัวหาย  สองคนเพื่อนตายเอามาใช้ก่อน
หลังจากเบียร์สิงห์ เบียร์ไทยของเรา หมดไปประมาณ 3 ขวดก็เริ่มจะคุยกันถูกคอ พี่เที่ยงนักรบแรงงานไทยจากจังหวัดนครพนม เล่าให้ฟังว่ามาทำงานได้ 8 ปี เป็นคนงานอยู่ที่อู่ต่อเรือ รายได้ทุกวันนี้รับวันละ 25 เหรียญ/วัน แต่โดนนายหน้า  ฮุบไปวันละ 2 เหรียญแบบกินเปล่า   ฟังแล้วน่าสารเหลือเกินครับ ทำงานแทบตาย หาเงินเท่าไหร่ก็แบ่งส่งกลับเมืองไทย  แต่พวกนายหน้า นอนกระดิกเท้าหยิบเงินสดๆไปทุกวัน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  แกตั้งปณิธานว่าต้องหาเงินส่งกลับบ้านให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกๆได้เรียนดีๆ สูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบาก ลำบน จากบ้านเกิด เมืองนอน มาขายแรงงานยังต่างแดน
คืนนั้นกว่าจะกลับถึงโรงแรม ปาเข้าไปตี 4 กว่า เพราะพี่เที่ยง แกพาผมตะลุยร้านอาหารแถบนั้น แถมยังพาไปรู้จักพวกคนงานไทย อีกหลายคน  บางคนก็เป็นหัวหน้างาน บางคนก็เป็นผู้ใช้แรงงาน คืนนั้นได้ข้อมูลความเดือดร้อนของคนไทยมาเยอะเยอะ ส่วนใหญ่จะโดนเอารัดเอาเปรียบจากบรรดานายหน้าทั้งหลายรวมถึงบ่นน้อยอก น้อยใจ เจ้าหน้าที่ของสถานฑูตไทย ที่เวลาไปติดต่อ มักไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร เรื่องนี้ต้องกระซิบดังๆฝากไปถึงกระทรวงการต่างประเทศครับ เพราะฟันเฟืองจากนักรบแรงงานเหล่านี้แหละครับที่ปีหนึ่งๆ หาเม็ดเงินจากเมืองนอกเข้าประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาล
วันที่สองบนเกาะสิงคโปร์  โปรแกรมค่อนข้างจะแน่นเอี๊ยด หลังจากตื่นเช้าไปซดกาแฟกับขนมปังปิ้งสไตล์สิงคโปร์ชนทั้งหลาย ก็เดินทางต่อไป JURONG BIRD PARK  สวนนกที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในสวนนกจูร่ง ก็สามารถชมนกหลากหลายพันธุ์  โดยเฉพาะนกแก้ว ที่สีสันฉุดฉาด สวยงาม  มีให้เห็นเต็มไปหมด สนนราคาค่าเข้าชมตกประมาณคนละ 375 บาท แถมยังมีการแสดงโชว์ของนก ที่น่าตื่นตาตื่นใจ  โดยจะแสดงวันละ 2 รอบตอน 11 โมงกับบ่าย 3 โมง ดังนั้นคนที่เข้าไปชมต้องบริหารเวลาให้ดี อย่ามัวเดินดูนกจนเพลิน จนพลาดดูการโชว์ ที่นี่ยังมีน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ให้ชมอีก คุณเค.ซี ไกด์เราเล่าว่า สาเหตุที่ต้องสร้างน้ำตกเทียมขึ้น เพราะสิงคโปร์กลัวว่าลูกๆหลานๆจะไม่รู้จักว่ารูปร่างน่าตาของน้ำตกมันเป็นอย่างไร เรื่องนี้จริงหรือเท็จ ใครมีเพื่อนชาวสิงคโปร์ลองกระซิบถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
ออกจากสวนนกจูร่ง กรุ๊ปเราก็ตรงดิ่งไปที่ SNOW CITY ไปเดินบนหิมะเทียม(อีกแล้ว)ที่ใช้เทคโนโลยีสร้างขึ้นมา  อากาศข้างใน อุณหภูมิที่เขาปรับเอาไว้ถึงขั้นติดลบ กระเหรี่ยงดอยอย่างผม เลยต้องเข้าไปห้องปรับสภาพก่อน ขืนโดนพรวดเข้าไปเลยอาจจะโดนไข้จับเอาง่ายๆ  ข้างในก็มี SKI,SNOW TUBING,SNOWBOARD ให้เล่น งานนี้มีเพียงคุณหลินณหทัย  วิริยะชน จากจตุพรทัวร์ฯกับคุณต้องสัชชา  สุวณิชย์ ของมานิตย์การท่องเที่ยว  สองสาวต่างวัย(มาก) อาสาทดสอบความลาดชันของเนินสกี ส่วนผมเขยิบออกมาข้างๆ ยกมืออาสาเพียงแค่ถ่ายรูปให้แค่นั้นพอ
เดินหนาวสั่นออกมาปะทะอากาศร้อนของสิงคโปร์อีกครั้ง   คราวนี้ตั้งเข็มทิศไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวล่าสุดของทางสิงคโปร์ CHINATOWN  HERITAGE  เขาจำลองเอาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 1950 มาให้ดู แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนชาวจีนที่อพยพเข้าไปทำมาหากินที่สิงคโปร์นั้นลำบาก ลำบนขนาดไหน ต้องบอกว่าทำได้เหมือนจริงครับ ยกตัวอย่างง่ายๆแค่ห้องน้ำเขายังอุตสาห์ทำกลิ่นให้เหม็นเหมือนกับสมัยก่อนเปี๊ยบ ชะโงกหน้าเข้าไปดู ต้องรีบอุดจมูกทันที สงสัยจะกลัวไม่สมจริง
บ่ายแก่ๆคณะเราก็ย้ายไปลงเรือ BUMBOAT เพื่อล่องแม่น้ำสิงคโปร์ ไปถ่ายรูปกับเจ้าสิงโตทะลพ่นน้ำ สัญญาลักษณ์ของประเทศนี้  ที่ชาวโลกรู้จักดี   กดชัตเตอร์กันจนหนำใจทั่วทั้งคณะ แล้วเดินทางไปต่อที่ ไนท์ ซาฟารี
สวนสัตว์กลางคืนไนท์ ซาฟารี ของสิงคโปร์ที่สร้างเป็นแห่งแรกของโลก เป็นจุดมุ่งหมายหลักของผม เพราะต้องการมาเปรียบเทียบ ในฐานะที่เชียงใหม่เรา จะขออาสาเป็นคู่ท้าชิง กับแชมป์เก่าสิงคโปร์  ถึงแม้ว่าตอนนี้ไนท์ ซาฟารี เชียงใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือว่าออกก้อย แต่อย่างน้อยขอไปดู ขอไปศึกษามาเปรียบเทียบก่อน  เผื่อว่าภายหน้าเชียงใหม่คลอดโครงการนี้ได้จริงๆ
เดินเข้าไปก้าวแรก ก็ต้องบอกว่างานนี้ เชียงใหม่เราเหนื่อยแน่ ถ้าจะล้มแชมป์ เขาจัดบริเวณได้อย่างเป็นสัดส่วน  สวยงาม อาหารในสวนสัตว์ที่เปิดบริการแบบบุปเฟต์ ราคาก็ไม่แพงมากนักคนละ 18 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ แต่อาหารมีให้เลือกหลากหลายอย่าง แต่คนกินน้อยอย่างผมถือว่าไม่คุ้ม คีบโน่น คีบนี่ ไม่กี่คำ ก็อิ่ม
เวลาชมสวนสัตว์เปิดไนท์ ซาฟารี เขาก็มีให้เลือกว่าจะเดินชมก็ได้ หรือว่าจะนั่งรถชมก็ได้  แต่ส่วนใหญ่รู้สึกจะสมัครใจว่าขอกระโดดขึ้นรถดีกว่า รถที่พาเยี่ยมชมเขาก็ทำคล้ายๆรถรางพ่วง ขับเอื่อยๆไปตามทาง พร้อมคำอธิบายจากพนักงานประจำรถ  ว่าสัตว์นี้ชื่ออะไร หากินแบบไหนแต่ที่เรียกเสียงฮือฮาที่สุดจากคณะเราคือ ควายไทย  อยู่ๆก็ไปโผล่ที่สวนสัตว์เปิดหน้าตาเฉย แบบไม่นึกไม่ฝัน
หลายคนตั้งปุจฉาว่าควายไทยทำไมจรลีไปอยู่ในสวนสัตว์ได้ ก็ได้คำตอบจากไกด์เค.ซีว่า เราคนไทยอาจจะชินชา เห็นความจนเบื่อ  แต่อย่าลืมว่าฝรั่งมังค่า ไม่เคยเห็น แหม..หลงนึกว่าควายไทยกำลังจะสูญพันธุ์เสียอีก
วันที่สามในสิงคโปร์ อากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก ฟ้ารั่วแบบไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย  อยู่ๆฟ้าก็มืดขึ้นมาเฉยๆ ตามมาพร้อมกับลูกคู่ทั้งฟ้าร้อง และฟ้าผ่า  ทำเอาการเดินทางค่อนข้างจะลำบาก เพราะที่หมายของเราคือข้ามไปเกาะเซ็นโตซ่า
อันดับแรกเมื่อไปถึงก็ตรงเข้าไปดู โลกของสัตว์น้ำที่ UNDERWATER WORLD ซึ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากนัก   เดินบนทางเลื่อนชมปลาพันธุ์ต่างๆผ่านอุโมงค์แก้ว ที่เขาหัวใสเอากระจกสร้างคร่อมทางเดินให้ดู กระจกนี้ยังมีเทคติกคือจะขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ปลาต่างๆเลยดูตัวใหญ่ กว่าความเป็นจริง  สร้างความตื่นตาตื่นใจในการชมมากขึ้น
อากาศไม่เป็นใจ เลยทำให้คณะเราอดดูโชว์ของปลาโลมา โดยปริยาย เพราะเขางดการแสดง เลยต้องเปลี่ยนเข็มขึ้นไปนั่งเคเบิ้ล  คาร์ ชมวิวสิงคโปร์จากบนฟ้า นั่งแบบนันสต๊อป จากเกาะเซ็นโตซ่า ข้ามมาฝั่งสิงคโปร์ ยูเทรินกลับทันที แบบไม่ต้องแวะข้ามมาเซ็นโตซ่าอีกหน เรียกว่าดูวิวกันแบบเต็มอิ่ม ชื่นฉ่ำใจ
สุดท้ายที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือ การแสดง MUSICAL FOUNTAIN น้ำพุดนตรีพร้อมการแสดงแสงสีเสียง  ทีแรกก็นึกว่าเปิดเพลงแล้วให้น้ำพุพ่นออกมาตามจังหวะเพลง  แต่พอถึงการแสดงจริงๆ ต้องยกนิ้วให้ว่าอลังการเหลือหลาย เขาฉีดน้ำพุแบบฉากหลังก่อนยิงแสงเลเซอร์สร้างรูปภาพที่เดินเรี่องราว รวมถึงฉากอื่นๆอีกเยอะแยะ  เรียกเสียงปรบมืออย่างเกรียวกราวจากผู้ชมที่ค่อนข้างหนาตา ถึงแม้ว่าฝนจะตกพรำๆตลอดเวลาก็ตาม  กระซิบดังๆว่าใครมีโอกาสไปเกาะเซ็นโตซ่า อย่าพลาดเป็นอันขาด
ก็เขาลงทุนมหาศาล ไม่รวมสถานที่ ที่ใหญ่โตกว้างขวางเป็นที่โล่งแจ้ง แค่โปรแกรมที่สั่งให้น้ำพุทำงานรวมถึงการยิงแสง สี เสียง  โปรแกรมเฉยๆนะครับ เขาจ่ายไปถึง 6 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นเงินไทยเท่าไหร่ลองเอา 24.60 บาทเข้าไปคูณดูเถอะครับ
สั่งลาคืนสุดท้าย ผมตั้งโปรแกรมตรงไปที่ย่านCLARKE QUAYแบบไม่วอกแวก หลังจากพลาดมาตั้งแต่วันแรก ย่านนี้ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนกลางคืน มีผับ ร้านอาหารตั้งเรียงรายยาวเหยียด เพราะติดกับแม่น้ำ  บรรยากาศดี มองไปทางไหนก็ดูสวยด้วยแสงไฟที่ประกับประดา ผู้คนเดินพลุกพล่านกับเกือบทั้งคืน ส่วนใหญ่จะปิดประมาณ ตี 2
ฝั่ง CLARKE QUAYกับฝั่ง BOAT QUAY ที่มีผับ ร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่ง มีเพียงถนนกั้นเท่านั้น  แต่ฟาก CLARKE QUAY จะสไตล์แนวเอเซีย ต่างจะฟาก BOAT QUAYที่เน้นแบบยุโรป  แต่ราคาก็พอๆกัน เบียร์ 1 เหยือกที่นี่ราคาประมาณ 30 เหรียญ ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพง สำหรับคนไทย
คนไทยหลายคนมาเที่ยวที่นี่ เลยต้องแกล้งลืมเครื่องคิดเลขไปโดยปริยาย สั่งไป คำนวนเงินไป เดี๋ยวพาลจะกินไม่ลง  ผมเองถือคตินานๆมาที เลยถือโอกาสเลิกกดเครื่องคิดเลข เพราะกลัวเที่ยวไม่สนุก  สุดท้ายกลับมาถึงเมืองไทย เห็นสลิป บิลอยู่เต็มกระเป๋า พาลจะเป็นลมเอาง่ายๆเหมือนกัน………….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น