วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บันทึกลับ..นอสตราดามุส เขียนกลอนทำนายอนาคตเมืองไทย



จะมีหนึ่ง นารี ขี่ควายแดง
ควงคฑา มุ่งทิ่มแทง ไร้ความหวัง
ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง
สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ

ความฉิบหาย จะบังเกิด ในสยาม
หลังฝนคร้าม จักท่วมครืน ยืนไม่ได้
เข้าสู่ยุค น้องอัปรีย์ พี่จัญไร
พี่ดูไบ น้องดูโง่ โชว์ทุกวัน

คงเป็นแค่ หนึ่งอัปรีย์ สตรีสาว
อยากเป็นดาว สกาวเด่น กลับเป็นหมัน
พาพี่ชาย กลับบ้าน ย่านจรัญฯ
เจอน้ำดัน จนต้องแดก หญ้าแพรกเอย

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อมั่น 24-10-54





       ตอนนี้คนไทยทั้งหลายก็ได้รับทราบโดยทั่วกันแล้วว่า เราคงต้องอยู่กับน้ำไปอีกระยะหนึ่ง สำหรับบางคนที่ดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับน้ำท่วมมากๆจนเกิดความเครียดก็ต้องเริ่มทำใจ หันไปดู
อย่างอื่นแทนบ้างครับ เดี๋ยวความดง ความดันจะพุ่งเสียเปล่าๆ ผมเองช่วงหลังๆก็ใช้วิชานินจา ดูบ้าง ไม่ดูบ้าง เอาแบบแว๊บๆ เพราะเริ่มรู้สึกตัวว่าเราเครียดเพราะข่าวน้ำท่วมมากเกินไป
       ความจริงแล้วกองทัพน้ำ ครั้งนี้ เขาส่งสัญญานมานานแล้วครับว่า ปีนี "จัดหนัก" แถมยังมีมรสุมอีกหลายลูก เป็นตัวช่วย ปริมาณน้ำในปีนี้เลยทะลุทะลวงจนเดือดร้อนไปทั่ว ถึงแม้ว่ารัฐบาลของ
           ท่านนายกฯปูจะรู้สึกช้าไปหน่อย เพราะกว่าจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.  ขึ้นมาได้ ประชาชนก็อ่วมกันไปหลายจังหวัด
          แถมนิคมอุตสาหกรรม ทั้งหลายก็โดนถล่มไล่เรียงมาเรื่อยๆ ถ้ากดเครื่องคิดเลขดูตอนนี้ก็บอกได้คำเดียวว่า"เจ๊กอั๊ก"กันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน หรือนายทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน
          หรือว่าคนงานหลายแสนคนที่อาจจะต้องตกงาน เมือโรงงานต้องหยุดการผลิต หรือเ ผลอๆอาจจะต้องหยุดกิจการ เรียกว่าเป็นความเดือนร้อนในแบบ โดมิโน ล้มกันไปเรื่อยๆ เป็นทอดๆ
        แต่ที่เป็นปัญหาซ้ำเติมประชาชนอยู่ในขณะนี้ คือ การทำงานของ ศปภ.เอง ที่กำลังทำลายตัวเองทีละน้อย ด้วยการทำงานแบบพลิกลิ้นกลับไปกลับมา
         แถลงข่าวสู่สาธารณชนวันนี้ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนแถลงใหม่ข้อมูลที่สื่อออกมากลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มจากการสร้างความวิตกให้ประชาชน ในช่วงที่ผ่านมา
      แถมยังมีบรรดานักการเมืองอยากดัง ออกหน้ามาสลอน เห็นกล้องทีวีเป็นไม่ได้ ต้องออกมาจ้อ มาพูด ทั้งที่"ข้อมูลยังไม่แน่น ไม่ผ่านการกลั่นกรอง" สุดท้ายประชาชนก็ได้ข้อมูลผิดๆเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เกิดความสับสนว่า ข้อมูลไหนถูก ข้อมูลไหนผิด สรุปจะเชื่อใครดียุ่งอีรุงตุงนัง กันตั้งแต่ตั้งศูนย์ฯมาจนถึงบัดนี้
       นาทีนี้ บรรดาผู้คนทั้งหลาย ก็ต้องหันไปใช้ข้อมูลจากบรรดา โชเชียล มีเดีย แทนไม่ว่าจะเป็น เฟซบุค หรือว่าทวิตเตอร์ ที่รายงานสถานการณ์แบบวินาทีต่อวินาที ไม่เหมือนกับข้อมูลของ ศปภ.ที่กว่าจะแถลงว่าให้ประชาชนพื้นที่ไหนอพยพ น้ำก็จะมาถึงตัวอยู่รอมร่อ  แถมบางครั้งข้อมูลยังผิดพลาดอีกต่างหาก  ทำเอาผู้คนร้องยี้กันทั้งบ้าน ทั้งเมือง
        ถ้าไปดูบรรดาโพสความเห็นของผู้คน ที่ปรากฏตามทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ค ผมว่าท่านนายกฯกับผู้อำนวยการ ศปภ.อย่างท่านประชา พรหมนอก อาจจะกินข้าวไม่ลง
       เพราะตอนนี้ ผู้คนเขาโพสบอกกันว่า "ถ้า ศปภ.แถลงว่า พื้นที่ไหน ปลอดภัย ทางรัฐบาล"เอาอยู่"จัดการมวลน้ำได้แล้ว   เมื่อนั้นหมายถึงให้คนพื้นที่นั้นรีบเก็บของ อพยพ เป็นการด่วน เพราะน้ำจะท่วมในไม่ช้า
       หรือบางคนโพสบอกว่า "ถ้าอยากอยู่รอด ปลอดภัย ในช่วงน้ำท่วม วิธีง่ายๆคือ ทำอะไรก็ได้ที่ตรงข้าม กับสิ่งที่ ศปภ.แถลง"
       นี่เป็นการประจานถึงความบกพร่อง หัวไปทาง หางไปทาง ทำงานแบบสเปะสะปะ มั่วกันไปหมดภายใน ศปภ.ที่ถือเป็นหัวใจหลักในการแก้ไขวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้
       แถมล่าสุดยังมี"ตลกได้ดี"อย่างคุณเจ๋ง  ดอกจิก ที่ติดหน้าอกว่าเป็นเลขานุการ รมช.มหาดไทย ได้โชว์กร่างกับผู้สื่อข่าวที่ทำข่าวใน ศปภ.โดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้มีการมอบเรือเพื่อช่วยเหลือให้กับผู้ที่ถูกน้ำท่วม       
     ท่านเลขาฯเจ๋ง ดอกจิก อยากได้ จึงเดินกร่างมาหาบรรดานักข่าว พร้อมบอกอำนาจ บารมีว่า “ผมคุมปภ.และใหญ่กว่าอธิบดีปภ.” และจะเอาเรือที่เอกชนบริจาคไป  บรรดาผู้สื่อข่าวได้ถามว่า
จะนำเรือไปช่วยประชาชนที่จังหวัดไหน คุณเจ๋ง ดอกจิก ก็ได้กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “เรื่องของผม ผมจะเอาไปไหนก็สิทธิ์ของผม”
    จากนั้นก็สั่งให้นักข่าวทั้งหลายยกเรือ ตามเขาไป แต่ไม่มีผู้สื่อข่าวคนใดปฏิบัติตาม
        กรณีแบบนี้ มีคนบอกว่ามีอยู่ทั่วไปใน ศปภ.ที่ดอนเมือง มีคนเบ่ง คนกร่าง เดินกันให้พล่านเต็ม ศปภ.ที่ดอนเมือง จนล่าสุด บรรดาอาสาสมัครทั้งหลาย ที่เดินทางไปช่วยแพ็คของ หรือทำงานด้วยจิตอาสาให้กับ ศปภ.ต่างพากันเอือมระอา ถอนตัวกันเป็นแถว เพราะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมแบบนี้
        ถึงเวลาแล้วครับที่ท่าทนนายกฯปู ของเรา จะต้องมาจัดระเบียบ ให้กับ ศปภ.แห่งนี้ ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช้สะเปะ สปะกันอย่างนี้อยู่ทุกวัน
     และที่สำคัญที่สุดต้องเรียก"ความเชื่อมั่น"ของประชาชนคนไทยทั้งหลายให้กลับคืนมาให้เร็วที่สุด เพราะ ศปภ.นั้นถือเป็นแม่ทัพในการจัดการกับข้าศึกน้ำในครั้งนี้  และเชื่อได้เลยว่าศึกครั้งนี้ยังมียาวนาน ต้องมีการสู้รบ ชิงพื้นที่กันอีกหลายยก
        แต่ถ้าแม่ทัพขาดบารมี  ประชาชีทั้งหลายก็นับถอยหลังถึงวันหายนะ ครับผม
                                                                                                       
                                                                                               กุนซือ

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ตุ๊ก 50 ประก๋านของคนเมือง


1.  ก้างปักเหงียก                        ก้างปลาปักเหงือก
2. 
เกียกขบตี๋น                     รองเท้ากัด
3. 
จิ้นขำเขี้ยว                      เศษเนื้อติดฟัน
4.  ไค่เยี่ยวบนรถ                   ปวดฉี่บนรถ
5. 
มดขบต๋า                        มดกัดตา
6. 
ขาเป็นตะคริว                   ขาเป็นตะคริว
7. 
สิวออกในฮุดัง                  สิวขึ้นในรูจมูก
8. 
คันหลังเก๋าบ่สุด                คันหลังเกาไม่ถึง
9. 
มุดฮั้วลวดหนาม                มุดรั้วลวดหนาม
10.จ๋ามในห้องแอร์                 จามในห้องแอร์
11.เหม็นขี้แฮ้ในลิฟท์                 เหม็นจักแร้ในลิฟท์
12.
รูดซิบติดหำ                         รูดซิบติด....
13.
ยกจ๋ำขึ้นบะได้                     ยกยอ(ตกปลา)ขึ้นไม่ได้
14.
ไค่ให้ไค่หุย                        อยากกรี๊ดและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
15.
โดนหละกุยยอกแก่นต๋า        โดนหมัดเข้าที่เบ้าลูกตา
16.
เซาะหาผัวบะเจอ                 ตามหาผัวไม่เจอ
17.
เมียเผลอเซาะมีกิ๊ก              เมียเผลอไปมีกิ๊ก
18.
ต๋ำน้ำพริกปอบะแหลว          ตำน้ำพริกไม่ละเอียด
19.
อู้หยั่งแม้วหยั่งกับยาง          พูดจาราวกับแม้ว&กระเหรี่ยง
20.
ขางผัวอยู่ตึงวัน                  หวงสามีอยู่ได้ทุกวัน
21.
อันนั้นสั้นล้ำไป                   อันนั้นน่ะ...สั้นไปหน่อย
22.
มีไข่แก่นเดียว                    มีไข่...ใบเดียว(ทองแดง)
23.
บ่าเสียวมีเซ็กซ์                  ....กามตายด้าน
24.
ต๋าเก๊กสองข้าง                  ตาเหล่ทั้งสองข้าง
25.ป๋ายกางเป๋นฝี                   ปลายคางเป็นฝี
26.
ป๋าย he เป๋นตุ่ม                 ปลาย.....เป็นตุ่ม
27.
ตุ้ยอุ้มลุ้มอุ้บ่าฉ๊ะ                ตุ้ยนุ้ยอ้วนเกินเอา (มั้ง)
28.
เมียละผัวหนี                     เมียไม่สนใจผัวเลยหนี
29.
ทีวีโดนลัก                         ทีวีโดนขโมย
30.
ผีตั๊กต๋อนค่ำ                     เจอผีทักตอนค่ำๆ
31.
มดง่ามขบจู๋                     อันนี้เข้าใจเนอะ....
32.
หูเป๋นน้ำหนวก                 หูเป็นน้ำหนวก
33.
เมียสวกตบหงีบ               เมียดุตบ(บ้อง)เข้ากกหู
34.
ผัวถีบตกรถ                     อันนี้ไม่ต้องแปล
35.
เก็บกดแม่เมียด่า              อันนี้ก้อไม่ต้องแปล
36.
ขี้หมาติ๊ดเกิบ                   ขี้หมาติดรองเท้า
37.ต่าวอวบเติ๊บเปิ๊บก๋างห้าง    สะดุดลื่นล้มกลางห้าง
38.
อารมณ์ค้างผัวเสร็จเวอย     อารมณ์ค้างผัวเสร็จเร็ว(นกกระจอก......จิ๊บๆๆ)
39.
เม่อยไข้ทับระดู                 เมื่อยเป็นไข้ทับฤดู
40.
ฮูบ่กระชับ                       ตรง ๆ เชียว (อันนั้น...เมียมันหลวมนะก่ะ)

41.โดนยับใบขับขี่                 โดนจับปรับใบขับขี่
42.
ไค่ขี้ต๋อนกิ๋นเข้า                ปวดขรี้ตอนกำลังกินข้าว
43.
ฮักเมาแม่เฮือนหนุ่ม          แอบหลงรักเมียสาวชาวบ้าน(เมียเขา)
44.
ไอ่ลุ่มบ่อไค่แข็งแรง          อัน...ตรงข้างล่างไม่ค่อยแข็งแรง
45.
เหม็นแมงแกงติดหัว        เหม็นแมลงแกง (แมลงชนิดนึงมีกลิ่นเหม็น) ติดที่หัว
46.ผัวบะนอนตวย                สามีไม่นอนด้วย
47.
ซื้อหวยก่อบะถูก              ซื้อหวยก็ไม่ถูก
48.
ขี้มูกกาฮุดัง                    ขี้มูกคาจมูก
49.
เป๋นสังคังติดเก๊าขา         เป็นสังคังที่โคนขา
50.
สาบขี้หมาในรถ                     เหม็นขี้หมาในรถ

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ฮาลาล 12/9/54




            ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปเยือน  สาธารณรัฐอินโดนีเซีย จและได้พบปะกัย ดร. ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน  ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย   และได้จับเข่าคุยกันถึงถึงแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีด้านต่างๆ  ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง  การเมืองและวัฒนธรรม      หนึ่งในหัวข้อที่หยิบยกมาพูดคุยกันคือจะผลักดันให้ลงนามความตกลงทางการค้า ระหว่างกันในอนาคตอันใกล้เพื่อร่วมมือด้านอุตสาหกรรมฮาลาล ส่งสินค้าอาหารไทยตราฮาลาล มากขึ้น
      คุณๆครับ  อุตสาหกรรมฮาลาล นั้นอย่ามองข้ามเป็นอันขาดครับ เพราะมีเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลซ่อนอยู่ตรงนี้
      ทุก วันนี้ชาวมุสลิมกระจายอยู่ทั่วโลกประมาณ 1,800 ล้านคน รวมตัวเป็นองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of the Islamic Conference : OIC) มีประเทศสมาชิก 55 ประเทศ คนกลุ่มนี้บริโภคอาหารมากกว่าปีละ 3 ล้านล้านบาท และจะกินเฉพาะอาหาร "ฮาลาล" (HALAL) เท่านั้น ทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการผลิตและให้มาตรฐานอาหารฮาลาลในระดับสากล ผู้ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหารสำหรับมุสลิมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ปฏิบัติให้ถูกหลักบัญญัติอิสลามอย่างเคร่งครัด
     คนที่ไม่ ใช่มุสลิมอาจเกิดความสงสัยเกี่ยวกับอาหารของมุสลิมว่าคืออะไร เพราะบางครั้งได้ยินคนเรียกว่าอาหารมุสลิมบ้าง อาหารฮาลาลบ้าง อาหารอิสลามบ้าง อาหารทั้ง 3 ชื่อนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
    ก่อนอื่นต้องบอกให้ทราบว่า คำว่า “อาหารอิสลาม” นั้นเขาไม่เรียกกัน เพราะอิสลามเป็นชื่อศาสนา ต้องเรียกว่า “อาหารมุสลิม” จึงจะถูกต้อง
    ส่วน “อาหารมุสลิม” คนที่จะปรุงอาหารประเภทนี้ต้องเป็นคนมุสลิมเท่านั้น ที่สำคัญต้องปรุงให้ถูกต้องตามหลักบัญญัติอิสลาม  ไม่ขัดต่อบัญญัติอิสลาม และยังต้องมีวิธีการปรุงที่สะอาด รวมทั้งส่วนผสมก็ต้องสะอาด ไม่เน่า หรือไม่ส่อว่าอาจมีเชื้อโรค เพราะหลักการอิสลามอนุมัติให้มุสลิมบริโภคสิ่งที่ "อนุมัติ และสภาพดีมีคุณค่า" เช่น เนื้อสัตว์ต้องได้รับการเชือดโดยมุสลิม มีการกล่าวพระนามของพระผู้เป็นเจ้าขณะเชือด มีวิธีการเชือดถูกต้องตามหลักการอิสลาม คือ เชือดเส้นเลือดใหญ่ที่คอให้สัตว์นั้นตายทันทีโดยไม่ทรมาน
    นอก จากนั้น อาหารมุสลิมต้องไม่ขัดต่อบัญญัติอิสลาม คือ ไม่มีส่วนผสมที่ต้องห้าม เช่น เนื้อหมู น้ำมันหมู หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากหมู รวมถึงเลือดสัตว์ไม่ว่าชนิดใด อาหารที่มาจากพืชที่มีพิษและเป็นอันตรายทุกชนิด และอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือมีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายและ เป็นพิษ เป็นต้น
    มาถึงคำว่า "อาหารฮาลาล" หมายถึง อาหารที่ได้ผ่านกรรมวิธีในการทำ ผสม ปรุง ประกอบ หรือแปรสภาพ ตามบัญญัติอิสลามที่กล่าวมาโดยสังเขปข้างต้นทุกประการ และต้องได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ออก เครื่องหมายรับรอง หรือออกหนังสือรับรองตามกฎหมาย เพื่อเป็นการรับประกันว่า ชาวมุสลิมโดยทั่วไปสามารถบริโภคอาหาร หรืออุปโภคสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้โดยสนิทใจ ซึ่งใครจะเป็นผู้ผลิตหรือปรุง "อาหารฮาลาล" ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมุสลิม
    วกกลับมาพูดถึงเมืองไทยของเราบ้าง ประเทศไทยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ของการผลิตการเกษตรและอาหารที่สำคัญมาตั้งแต่ในอดีต ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก โดยแต่ละปีส่งออกอาหารเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 14 ของโลก
     นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้กำหนดให้นโยบายครัวโลกเป็นนโยบายที่สำคัญของประเทศ ในขณะที่อาหารฮาลาลซึ่งเป็นอาหารที่ชาวมุสลิมสามารถบริโภคได้อย่างถูกต้อง ตามหลักศาสนา อิสลาม ก็เป็นผลิตภัณฑ์อาหารส่งออกที่สำคัญของไทย

       ซึ่งมีศักยภาพทางการตลาดโดยประชากรมุสลิมทั่วโลก จำนวน 1,800 ล้านคน หรือ ร้อยละ 25 ของประชากรโลกมีการบริโภคอาหารฮาลาล เป็นมูลค่าปีละประมาณ 150,000-200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
      ในขณะที่ประเทศไทยสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลได้เพียงปีละ 275 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 0.18 ของมูลค่าอาหาร ฮาลาลของโลกเท่านั้น จึงนับเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไทยยังมีศักยภาพในการขยายตลาดในต่างประเทศได้ อีก
    ในขณะเดียวกันพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งมีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ยังมีความยากจน แต่มีศักยภาพในการผลิตอาหารฮาลาล โดยมีวัตถุดิบอาหารทะเลและผักผลไม้ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถพัฒนาเป็นฐานการผลิตอาหารฮาลาลที่สำคัญ เพื่อสร้างรายได้และการมีงานทำให้ประชาชนในภาคใต้ได้

         รัฐจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้และกลุ่มจังหวัดชายแดนภาค ใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งกลวิธีที่สำคัญได้แก่ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การพัฒนาวัตถุดิบ มาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อย่างครบวงจร
      ถ้าวันนี้เมืองไทย ตั้งเข็มทิศว่าขอขึ้นแท่นเป็น"ครัวโลก"ให้ได้แล้วละก้อ ผมว่าอุตฯอาหารฮาลาล นี่แหละครับจะเป็นเสาเข็ม เสาหลักอย่างหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในอนาคตอย่างมากมาย มหาศาล

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองไทยกับอับดับโลก

 

             วันนี้ไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย ที่โผล่ไปติดอันดับโลกในเรื่องต่างๆ เลยหยิบมาเล่าขานให้ฟัง  มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี คละเคล้ากันสมกับฉายา"สยามเมืองยิ้ม"ของเรา
               ปี พ.ศ 2545  อาหารไทยเป็นอาหารยอดนิยม ติด 1 ใน 5 ของโลก ร่วมกับ อาหารฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน ทั่วโลกมีร้านอาหารไทย 6000 แห่ง อยู่ในสหรัฐ 3000 แห่ง มีลูกค้าเข้ามารับประทานเฉลี่ยนวันละ 3 ล้านคน
             เชื่อหรือไม่ครับว่า  พ.ศ 2546 คนไทยมีสถิติดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก   ไทยเป็นผู้ส่งออกใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ของโลกในการส่งออกรถยนต์ไปยังสิงคโปร์    นอกจากนั้นไทยติดอันดับละเมิดลิขสิทธิ์ 1 ใน 10 ของโลก มูลค่าตลาดสูงกว่า 1,600 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากจีนและไต้หวัน
                 ในปี พ.ศ.2547 ไทยเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุด อันดับ 32 ของโลก จากการจัดอันดับของธนานคารโลก ส่วนอันดับ 1-10 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี จีน สเปน แคนาดา และอินเดีย
                   พ.ศ. 2548 ไทย ติดอันดับประเทศน่าลงทุนติดอันดับที่ 20 ของโลก จากทั้งหมด 155 อันดับ ถือ เป็นประเทศที่มีผลงานที่ดีที่สุดประเทศหนึ่ง แซงหน้ามาเลเซียและเกาหลี ใต้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21 และไต้หวันที่อันดับ 35
                    ปี พ.ศ. 2549 ไทยฉาวอีกครั้งเมื่อติดอันดับอันดับ 5 ของโลก ในการแพร่เว็บลามก   แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อกรุงเทพ มหานครได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมามากที่สุดใน ทวีปเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก ฟลอเรนซ์ และโรม

                   ในขณะที่ เชียงใหม่ อยู่อันดับที่ 5    และในปีเดียวกันนั้นสนามบินของไทยมีผู้ใช้บริการมากที่สุด อันดับ 11 ของโลก (ยังไม่นับตอนสุวรรณภูมิเปิด)
                     ส่วนในเรื่องของความสุขนั้น ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสุขที่ 44 ของโลก  ใน เอเชียนั้น ฟิลิปปินส์อันดับที่ 23 อินโดนีเซียอันดับที่ 31 จีนอันดับ ที่ 32 ไทยอันดับที่ 44 มาเลเซียอันดับที่ 66 อินเดียอันดับที่ 64 ฮ่องกง อันดับที่ 89
                    ปี พ.ศ. 2550 วัยรุ่นไทยติดอันดับ 1 ของโลก ในการเล่นเว็บแคมฟร็อก โดยห้องแชตสุดฮิต อันดับ 1-60 เป็นห้องของคนไทย 55 ห้อง
                    มาถึงเรื่องหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆบ้าง  ปตท. เป็น บริษัทไทยแห่งเดียวที่ติดอันดับในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 อันดับแรกของ โลก จากผลการสำรวจประจำปี 2007 เป็นอันดับที่ 41 ในเอเชีย และเฉพาะในภาค ธุรกิจการกลั่นปิโตรเลียม ปตท.อยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก
                   ผู้บริหารระดับสูงของไทย ติดอันดับมีรายได้เฉลี่ยสูงสุดอันที่ 8 ของโลก  ในรายชื่ออันดับอำนาจการซื้อผู้บริหาร อันดับ1.ซาอุดิอาระเบีย   อันดับ2.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   อันดับ3.ฮ่องกง   อันดับ4.รัสเซีย   อันดับ5.ตุรกี   อันดับ6.เม็กซิโก   อันดับ7.ยูเครน   อันดับ8.ไทย   อันดับ9.สิงคโปร์
 ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก มีจำนวนประมาณ 63 ล้านคน
                 ปีนี้เองที่เด็กไทยก็ไปสร้างชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกในการแข่งขัน ชีววิทยาโอลิมปิก 2550 เด็กไทยคว้ารางวัล คะแนนสูงสุด อันดับ 1 ของโลก
                  ไทยโดนสถิติติดระดับโลกอีกครั้งเมื่อตัวเลขประกาศออกมา  ประเทศ ไทยเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของโลก สามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 27 ล้าน ตัน จัดเป็นอันดับ 6 ของโลก มีการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของ โลก มูลค่า 1 แสนล้านบาท

               แบ่งเป็นข้าวสารร้อยละ 97 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อย ละ 7 แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ไม่มีอำนาจใน การกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเลย
                สิงห์แมงกะไซต์เมืองไทยก็อันดับโลกกับเขาด้วยเหมือนกัน เมื่อติดโผประเทศที่ใช้จักรยานยนต์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 3 คน ต่อ 1 คัน
                 ส่วนที่น่าชื่นใจส่งท้ายของคนภาคเหนือคือ  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด อันดับ 2 ของโลก

                              กุนซือ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โปรแกรมใหม่ของท่านผู้นำ แห่งประเทศสารขัณฑ์



โปรแกรมตอบคำถามของท่านผู้นำ...

- ถามเรื่องการบริหาร ตอบว่า ทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม 
-ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย
- ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด
- ถามเรื่องรายละเอียด ตอบว่า ทุกอย่างต้องเป็นหน้าที่สภา
-ถามเรื่องสภา ตอบว่า ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับนายกทักษิณ
-ถามเรื่องทักษิณ ตอบว่า ทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
-ถามเรื่องรัฐบาล ตอบว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน
- ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข
-ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้
-ถามว่าทำไมบอกไม่ได้ ตอบว่า ทุกอย่างเป็นหน้าที่สภา
-ถามย้ำไปย้ำมา ตอบว่า ขอตัวก่อนนะคะ (จะแฮงค์แล้วค๊า)

หมายเหตุ...กรณีที่คำถามยากเกินไปมันจะ auto program นำคำตอบ 1-11 มารวมกัน โดยไม่สนใจว่าคำถามจะเป็นยังไง เช่น
"... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูในรายละเอียด และการปรึกษาหารือในรัฐบาล ไม่ค่ะ เป็นการตัดสินใจ ของรัฐบาล ท่านนายกทักษิณไม่เกี่ยวค่ะ ทุกอย่างต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามกฎหมายและพี่น้องประชนชนที่ไว้วางใจเรา ค่ะ ..ค่ะ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ค่ะ..ยังคงบอกอะไรในรายละเอียดไม่ได้ ต้องรอหารือในสภา ..ค่ะ ๆ ขอตัวก่อนนะคะ ”

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาญาสิทธิ์ 24/3/2552


               ช่วงนี้ผมขึ้นศาลบ่อยครับ  เพราะโดนฟ้องร้องเรื่องคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ทั้งหลายที่โดนฟ้องร้องอยู่ประจำอันเนื่องมาจากข่าวสารที่นำเสนอกับทางหน้าหนังสือพิมพ์ 
                ขึ้นศาลบ่อยๆ เข้าเลยเกิดอาการอินครับ   เพราะไปศาลแต่ละครั้งต้องเสียเวลาประมาณครึ่งค่อนวัน เลยได้เรียนรู้ระบบ กากรทำงานของกลไกยุติธรรมของบ้านเรา ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสทางหนึ่ง
          ซึมซาบกับความขลังของศาลไทย
                ถ้าพูดถึงผู้พิพากษาในโลกนี้ รับรองว่าเบอร์1 ที่คนไทยได้ยินก็ร้องฮ่อคือ  ท่านเปาปุ้นจิ้น แห่งแดนมังกร เพราะชื่องเสียงกระฉ่อน โด่งดังมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ตอนนี้ย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย ยังมีหนังชุดของท่านเปาฯฉายให้คนไทยดูอยู่ทางช่อง 3 
                อาจจะเป็นภาพยนตร์จีนชุดที่ทำซ้ำและนำมาฉาย ทำลายสถิติ "ดาวพระศุกร์"ของเมืองไทยเรา
                ย้อนมองดูประวัติของท่าน เปาบุ้นจิ้น" เป็นข้าราชการชาวจีน มีชีวิตอยู่จริงในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเหรินจงแห่งราชวงศ์ซ่ง  ท่านเปาฯมีชื่อเสียงมากและเป็นที่สรรเสริญในด้านความซื่อสัตย์และความยุติธรรม กระทั่งต่อมาภายหลังได้รับยกย่องในเอเชียว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม
                เชื่อมั้ยครับว่า  ผู้คนคิดว่าว่าเปาบุ้นจิ้นเป็นตุลาการ แต่ความจริงแล้วงานตุลาการเป็นหน้าที่หนึ่งในครั้งที่รั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด
                ในสมัยนั้น เปาบุ้นจิ้นนั้นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหลายประเภท โดยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหกเดือนก่อนถึงแก่อสัญกรรม
                เปาบุ้นจิ้นนั้นเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติราชการ ความกตัญญูกตเวที และการปฏิเสธความอยุติธรรมและการทุจริตในหน้าที่ราชการชนิดหัวชนฝา ชื่อเสียงดังกล่าวทำให้เปาบุ้นจิ้นกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรม และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วกระทั่งต่อมาได้รับความนับถือเลื่อมใสถึงขนาดยกย่องเสมอเทพเจ้า
                ถ้าเทียบกับยุคสมัยของคนไทยแล้ว เปาบุ้นจิ้นมีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนสมัยสุโขทัย ส่วนชื่อ "เปาบุ้นจิ้น" ในไทยเป็นคำอ่านสำเนียงแต้จิ๋ว  เพราะสมัยก่อนชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาเมืองไทยล้วนแต่เป็นคนแต้จิ๋ว  แต่ถ้าอ่านเป็นสำเนียงจีนกลางว่า "เปาอุ๋นเจิ่ง" หรือ "เปาเหวินเจิ่น "นอกจากนี้ ในไทยเอง คำ "เปาบุ้นจิ้น" หรือ "ท่านเปา" ยังมีความหมายว่า ตุลาการ ศาล หรือผู้พิพากษาอีกด้วย และบางทีก็เจาะจงว่าหมายถึงตุลาการที่เที่ยงธรรมด้วย
                ประโยคหนึ่งที่โด่งดังมาพร้อมกับ เปาปุ้นจิ้น คือกระบี่อาญาสิทธิ์  ซึ่งหมายถึง กระบี่ของสมเด็จพระจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีแห่งจีนในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ เป็นสัญลักษณ์ของอาญาสิทธิ์ คือ สิทธิที่จะลงอาญาแก่ผู้ใดก็ได้ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งบำเหน็จความชอบอีกด้วย
                ในอุปรากรจีนหรือที่เราๆท่านๆเรียกกันติดปากว่า งิ้วจีน  ส่วนใหญ่แล้วกระบี่อาญาสิทธิ์มักปรากฏว่าพระราชทานให้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดินแทนพระองค์ รัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง หรือตุลาการ ผู้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ย่อมมี "อาญาสิทธิ์" ดังกล่าวเสมอสมเด็จพระจักรพรรดิ สามารถประหารชีวิตผู้กระทำผิดได้ทันทีแล้วจึงค่อยกราบบังคมทูลถวายรายงาน
                ถือเป็นกระบี่ ที่ทรง"อานุภาพ"มากที่สุดในแผ่นดิน
                และแน่นอนครับว่าที่รู้จักกันในไทยมากที่สุดเห็นจะเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ของเปาบุ้นจิ้น  ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิพระราชทานให้เปาบุ้นจิ้นสามารถประหารผู้ใดก็ได้นับแต่สามัญชนจนถึงเจ้าโดยไม่ต้องได้รับพระราชานุญาตก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่หลังจากประหารแล้วให้จัดทำรายงานกราบบังคมทูลทราบพระกรุณาด้วย
                 เป็นที่มาของสำนวนจีนว่า "ฆ่าก่อน รายงานทีหลัง"
                หลายคนตั้งคำถามว่า ท่านเปาปุ้นจิ้น ใช้พาหนะอะไรในการเดินทาง  คำตอบสุดท้ายออกมาแบบน่าเขกหัวว่า "ใช้รถ แดวู จากแดนกิมจิ เกาหลี"
                โดยหยิบเอาหนังชุดของท่านเปาปุ้นจิ้นทางทีวี ที่ก่อนนั่งบัลลังค์พิพากษาคดี จะต้องมีเสียงร้องโหมโรงว่า"แด วูววววววววว"
                ดังนั้นคาดว่าขุนนาง หรือผู้บริหารงานแผ่นดินที่ฉ้อราษฎร บังหลวง ที่คนจีนเรียกว่า"กังฉิน" ทั้งหลาย  ต่างพากันขยาดเสียงรถแด วู ของท่านเปาฯกันถ้วนหน้า
                เพราะนั่งบัลลังค์เมื่อไหร่ บรรดา"กังฉิน"ทั้งหลาย ต่างต้องตายตกไป หรือไม่ก็ย้ายสำมะโนไปอยู่ในคุก ตามหลักสูตร"ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด" ของ ตุลาการ
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                กุนซือ

คอคอตกระ 2/3/2548


            วานก่อนคลิกเข้าไปท่องอินเตอรเน็ต  คลิกเข้าไปอ่านนู๊นอ่านนี่ เหลือบไปเจอกระทู้หนึ่ง ที่สะดุดความคิดทันที คนตั้งกระทู้อยากทราบความคิดเห็นว่า คิดอย่างไรกับโครงการคอคอตกระ  ซึ่งเป็นโครงการที่จะขุดคลองบริเวรด้ามขวานทองของไทยให้เรือสมุทรที่ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแล่นผ่าน
          เวลาคุณๆเอาแผนที่โลกออกมากาง จะเห็นได้เด่นชัดว่าในเขตภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรามักจะเรยกในปัจจุบันว่าอาเซียนนั้น  เมืองไทยอยู่ในพิกัด  อยู่ในทำเลที่ได้เปรียบประเทศอื่นๆ
          พูดถึงการเดินทางทางอากาศ เมืองไทยนี่แหละที่นักวิเคราะห์ปีกธงว่าเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบินของอาเซียน นกเหล็กแต่ละลำจะไปต่อที่ไหน ก็มักจะแวะลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมือง  เครื่องเทคออฟจากอังกฤษบินมาเรื่อยๆผ่านตะวันออกกลางผ่านอินเดีย จะไปฮ่องกง ก็ต้องแลนดิ้ง ลงจอดที่เมืองไทย เติมน้ำมัน ให้ผู้โดยสารได้เดินออกมายืดเส้นยืดสายประมาณชั่วโมง แล้วค่อยบินต่อ  หรือบินจากเมืองจีนจะไปออสเตรเลีย แหม..จะมีที่ไหนทนาลงจอดเปลี่ยนเครื่องเท่ากับเมืองไทยอีก
          เห็นอย่างนี้นึกออกมั้ยครับว่า ประเทศเรามีทำเลทองอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาแทนที่จะฉกฉวยเอาความได้เปรียบนี้ไว้ใช้ กลับต้องถูกทำลายไปกับนักการเมือง ที่มีแต่พูดแต่ทำไม่เป็น ผลงานแต่อย่างที่ต้องใช้หัวคิด กลับทำไม่ได้ ทำได้แค่สร้างถนน ขุดท่อ คิดค่าต๋ง ไปงานศพ เข้างานบวช ล้วนแล้วแต่สะกดด้วยคำว่าผลประโยชน์กันทั้งนั้น เมืองไทยก็เลยต้องเดินแต่ครั้งก้าวย่ำอยู่กับที่ บางทีจะเดินถอยหลังเข้าให้ก็มี
          วกกลับมาถึงมุมมองเรื่องการตัดคอคอตกระ ในภาคใต้ จากหลายมุมมองที่มีคนตอบกระทู้นี้เห็นว่ามีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และอีกหลายคนก็ไม่สนใจบอกว่าถ้าทำแล้วเศรษฐกิจมันดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำไปเถอะ..ประมาณนั้น  
                   อีกหลายฝ่ายกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกในประเทศ เพราะพอมีคลองก็เหมือนกับประเทศไทยโดนหั่นออกเป็น 2 ส่วน  และอีกไม่น้อยบอกว่ารีบทำ เพราะถ้าอยากให้ไทยฟื้นจากพิษไข้เศรษฐกิจ โครงการคอคอตกระนี่แหละเป็นความหวังที่มีความเป็นจริงมากที่สุด


            สมมุติว่าคุณๆเป็นพ่อค้าจีน ประเทศที่มีประชากรอยู่ถึง 1,320 ล้านคน กำลังผลิตเหลือเฟือผลิตสินค้าออกมามากมายก่ายกอง ขนใส่เรือไปขายให้กับอินเดีย ประเทศที่ประชาชนแตะ 1,000 ล้านคนเมื่อไม่นานมานี้ เอาแค่ 2 ประเทศนี้ สินค้าจำนวนมหึมา ที่ถูกขนถ่ายไปมาซึ่งกันและกัน หลับตานึกออกมั้ยครับว่าเม็ดเงินมากมายขนาดไหน
          ทีนี้สินค้าจำนวนมากๆการขนถ่ายก็ต้องใช้เรือนี่แหละครับ ลองลากเส้นทางเดินเรือจากเมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองท่าเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีนไปอินเดีย เห็นเรือค่อยๆแล่นมาทางทะเลจีนใต้ มุ่งหน้าเข้าหาสิงคโปร์ เกาะเล็กกระจิ่วหลิวยิ่งกว่าเกาะภูเก็ตบ้านเรา จอดพักตรงนั้นก่อนแล่นอ้อมแหลมมลายู ตีโค้งหลายพันไมล์ทะเล ก่อนตั้งเข็มทิศขึ้นเหนือมุ่งเข้าหาอินเดีย
          ถ้าเผอิญดันมีการตัดคอคอตกระ สมมุติว่าอยู่แถวระนอง คุณเป็นกัปตัน คุณจะใช้เส้นทางไหน ถ้ากัปตันไม่โง่ ก็ต้องเดินเรือมาทะเลจีนใต้  อะแฮ้มเลี้ยวขวาเข้าอ่าวไทย ตัดทะลุเห็นทะเลอันดามัน ตั้งเข็มทิศใหม่แล่นตรงเข้าหาอินเดีย
          ย่นระยะทางได้อย่างเหลือเชื่อ ประหยัดทั้งพลังงาน แถมใช้เวลาน้อยกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง คุ้มสุดคุ้มถึงแม้จะต้องเสียเงินค่าทำเนียมในการแล่นผ่าน ให้กับประเทศไทยแต่มองอย่างไรๆก็ปฏิเสธไม่ลง  เหมือนกับคลองปานามา ที่กลายเป็นเส้นทางลัดของเรือสมุทรมาจนทุกวันนี้
          สายตาของพ่อค้าทุกคู่ก็ต้องเหลือบมาจ้องมองเมืองไทยของเรา  ใครก็คิดออกครับว่าถ้าเป็นอย่างนี้เมืองไทยจะเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในเอเซีย นักลงทุนแห่หอบเม็ดเงินเข้ามาลงทุน เพราะต้องการปักฐานการลงทุนก่อนจะสาย น่าสงสารก็แต่สิงคโปร์ ที่มนต์เสน่ห์จะหดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ 
          มีคนเคยกล่าวหาว่าสิงคโปร์กลัวโครงการนี้จับจิตจับใจ พยายามทุกหนทางเพื่อไม่ให้คอคอตกระเกิดได้ เพราะมองเห็นหายนะของประเทศตัวเอง มีการทุ่มเงินให้นักการเมืองไทยเพื่อคุมกำเนิดคอคอตกระไม่ให้เกิด จะเอาเงินเท่าไหร่ไปซื้อเสียง บอกว่าจะประเคนให้แต่พอเป็น .สแล้วอย่างลืมที่ไอสั่งไว้ อย่าให้โครงการนี้เกิดเป็นเด็ดขาด
          เราๆท่านๆก็เลยได้ยินแต่คำพูดกรอกเข้าหูว่าถ้าสร้างเสร็จภาคใต้จะถูกกลืนไปเป็นของมาเลเซีย เกิดความแตกแยก  ,ต้องใช้เงินงบประมาณหลายหมื่นล้าน ฯลฯ ถึงตอนนี้ต้องรอดูกิ๋นของรัฐบาลทักษิณว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร  กล้าตัดสินใจบุกหรือไม่ หรือปล่อยให้โครงการนี้ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าต่อไป
                                                                   กุนซือ