วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"มัสมั่น" ราชา่อาหารโลก


         เมื่อก่อนถ้าพูดถึงอาหารชั้นเทพของโลก ผู้คนส่วนใหญ่จะชูนิ้วอาหารจีน  อาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่งเศษ เรียกได้ว่าใครที่ได้ลิ้มลองชิมรสอาหารของประเทศเหล่านี้ ถือว่าได้กินอาหารระดับเทพ 
         ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ เครื่องปรุง หรือคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร เรียกว่าใช้ของประกอบอาหารแบบสุดยอด จนร่ำลือกันกระฉ่อน  ล่อใจบรรดา"เชลล์ชวนชิม"จากทุกมุมโลก
        สิบกว่าปีที่ผ่านมา อาหารไทยเริ่มเข้ามามาบทบาทในวงการอาหารระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนจากทุกมุมโลกเริ่มพูดคุยถึงอาหารไทยกันเสียงดังกว่าเดิม

      เพราะอาหารไทยนั้นได้ชื่อว่ามีความอร่อย มีความหลากหลาย และรสชาติที่ถึงอกถึงใจ พระเดชพระคุณนักชิมทั้งหลาย เวลาใครเดินทางไปท่องเที่ยวแถวยุโรปหรือว่าอเมริกา จะเริ่มเห็นร้านอาหารไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่เพิ่มแค่ปริมาณอย่างเดียว แต่ลูกค้าฝรั่งมังค่า ก็เดินหน้าเข้าร้านมาลิ้มลองกันแบบไม่ขาดสาย เมืองใหญ่ๆในอเมริกา ร้านอาหารไทยนั้นมีคนต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อจะได้ลิ้มรสชาติ"เสน่ห์ปลาจวักแบบไทยๆ"
        หลังจากเสียงลือ เสียงเล่าอ้างว่าอาหารไทยกำลังขึ้นเป็น"อาหารเทพ"ของโลกมาระยะหนึ่ง ในทึ่สุดวันนี้ อาหารไทยก็ได้สร้างชื่ออีกครั้งเมื่อเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น เซ็กชั่นซีเอ็นเอ็นโก เปิดเผยผลสำรวจเมนูยอดนิยม 50 อันดับทั่วโลก 

       ปรากฏว่า 'มัสมั่น' ของไทย คว้าอันดับ 1 นอกจากนี้ยังมีอาหารไทยอีกหลายเมนูติดอันดับต้นๆ ด้วย เช่น อันดับ 8 ต้มยำกุ้ง อันดับ 19 น้ำตกหมู และอันดับ 46 ส้มตำ
     โดยซีเอ็นเอ็นใช้วิธีสำรวจโดยการเปิดให้คนทั่วโลกโหวตทางเฟซบุ๊ก โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม  

       สำหรับรายชื่ออาหารจากทั่วโลกที่ได้รับการโหวตเลือกมีหลายร้อยรายการจากหลายชาติ ขณะที่อาหารไทยก็มีหลายเมนู อาทิ น้ำตกหมู ผัดไทย มัสมั่น ต้มยำกุ้ง ข้าวผัด แกงเขียวหวาน เป็นต้น
    เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นแจกแจงรายละเอียดว่า ผลโหวตเมนูยอดนิยม 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่
    1.มัสมั่นของไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น 'ราชาแกงกะหรี่' และอาจเป็น 'ราชาแห่งอาหารทั้งปวง' ด้วยความเผ็ด มันกะทิ หวานปนเปรี้ยว ผสมผสานกันอย่างลงตัว จึงได้รับเลือกให้เป็นแชมป์อาหารโลก



      2.พิซซ่านาโปเลียนของอิตาลี มีส่วนผสมทุกอย่างในหน้าพิซซ่ากลมๆ แม้เป็นพิซซ่าหน้าธรรมดา แต่ก็คว้ารองแชมป์มาได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเป็นต้นฉบับของพิซซ่าที่ปรุงด้วยแป้งสาลีชั้นดี ใช้มะเขือเทศ 3 ชนิด แป้งโดที่นวดจนเหนียวนุ่มและอบในเตาอบด้วยถ่านไม้


     3.ช็อกโกแลตของเม็กซิโก จากผลโกโก้ในป่านำมาผลิตเป็นช็อกโกแลตรสขมอมหวาน เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ และเทศกาลอีสเตอร์สำหรับคนทั่วโลก 

    4.ซูชิจากญี่ปุ่น คัดสรรเนื้อปลาสดและข้าวมาปรุงเป็นข้าวปั้นแสนอร่อยที่ถูกใจคนทั่วโลก 


    5.เป็ดปักกิ่งจากจีน เป็ดอบเคลือบด้วยน้ำเชื่อมหวานชุ่มคอ เป็นสูตรเฉพาะของเป็ดปักกิ่ง ค่อยๆ อบให้ได้ที่ในเตาอบจนผิวกรอบ นิยมเสิร์ฟหนังมากกว่าเนื้อ รับประทาน พร้อมแพนเค้ก หัวหอม หรือซีอิ๊วดำยิ่งเพิ่มความอร่อย



     6.แฮมเบอร์เกอร์จากเยอรมนี น่าแปลกใจที่ยักษ์ใหญ่แฮมเบอร์เกอร์อย่างแม็คโดนัลด์ไม่ติดอันดับยอดนิยม แต่กลับเป็นแฮมเบอร์เกอร์จากเยอรมนี เพราะส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างขนมปัง เนื้อ และสลัด ผลผลิตจากระบบการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

      7.ลักซาปีนังอัสสัมจากมาเลเซีย หรือก๋วยเตี๋ยวแกง อาหารยอดฮิตของชาวมาเล เซีย ปรุงด้วยเส้นบะหมี่ที่เรียกว่าบีฮูน ราดน้ำแกงกระทะรสเผ็ด เติมรสชาติด้วยสมุนไพรหลากชนิด เช่น มะขาม ตะไคร้ สะระแหน่ หัวหอม สับปะรด

    8.ต้มยำกุ้งของไทย เลิศรสด้วยกุ้ง เห็ด มะเขือเทศ ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด และปกติจะใส่น้ำกะทิเพิ่มความข้นมัน เสิร์ฟร้อนๆ รสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ตามด้วยหวาน ที่สำคัญคือราคาถูก 

    9.ไอศกรีมจากสหรัฐ แบบฉบับชาวอเมริกันแท้ๆ ต้องมีถั่ว มาชเมลโลว์ ราดด้วยช็อกโกแลต 

    10.ไก่มวมบาจากกาบอง ดัดแปลงจากสูตรดั้งเดิมของชาวตะวันตก เสริมความอร่อยด้วยเนยถั่ว พริก กระเทียม มะเขือเทศ พริกไทย เกลือ เนยจากปาล์ม
    วกกลับมาย้อนรอยถึง แกงมั่สมั่น ซึ่งปีนี้คว้าตำแหน่งราชาของอาหารโลกมาครองได้นั้น เริ่มแรกเดิมทีต้องย้อนไปเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยมีการ สันนิษฐานว่ามาจาก “ ต้นเครื่องชาวอินเดีย ” คณะทูตชาวเปอร์เชียได้บันทึกไว้ว่า “ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ” เป็นเจ้าไทยองค์เดียวที่เสวยอาหารแขกมันๆ ได้ แม้หลังจากขึ้นครองราชย์สมเด็จพระนารายณ์ก็ยังคงมีพ่อครัวซึ่งเป็นแขกอินเดีย ทำหน้าที่เป็นต้นเครื่องถวายอาหารอินเดียให้เสวยเป็นครั้งคราว
        แกงมัสมั่น เป็นตำรับอาหารที่ผสมผสานระหว่างครัวอินเดีย กับ ครัวไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกใช้เครื่องเทศ สมุนไพร และเครื่องปรุงอย่างชาญฉลาด แกงมัสมั่น ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของครัวสกุล “บุนนาค ” ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเฉกอะหมัด พ่อครัวเปอร์เชียที่รับราชการในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้เดิมจะนับถือศาสนาอิสลามนิกายซีอะห์ (หรือที่คนไทยสมัยก่อน เรียกว่า “ แขกเจ้าเซ็น ” 

    ต่อมาลูกหลานสกุลบุนนาค เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และได้ดัดแปลงอาหารไทยมุสลิมออกมามากมายหลายชนิด โดยเปลี่ยนจากเดิมที่ใช้นมสด หรือ นมเปรี้ยว มาเป็น กะทิ ซึ่งมีมัสมั่นก็เป็นอาหารที่ถูกปรุงจนถูกลิ้นคนไทย และกลายเป็นอาหารไทยมาจนทุกวันนี้
                                                    

                                                               กุนซือ
 

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"นักข่าวหัวเห็ด"ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ..โดน"มติชน"เบรกไม้ต้องเขียนคอลัมน์อีก ข้อหา"เอาความจริงมาตีแผ่..ทำไม"



ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์...ได้รับแจ้งจากมติชนว่า...ไม่ต้องส่งต้นฉบับวันเสาร์ที่ 16 ก.ค. บทความ "คำถามที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่กล้าตอบ จึงเป็นบทความสุดท้าย!

คำถามที่”ยิ่งลักษณ์”ยังไม่(กล้า?)ตอบ

โดย..ประสงค์  เลิศรัตนวิสุทธิ์

            น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร(ว่าที่)นายกรัฐมนตรี  ประกาศถึงภารกิจเร่งด่วน 7ประการที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการ
            1 ใน 7 เรื่องดังกล่าวได้แก่ การเร่งแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและการบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส่
            ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สถานีไทยพีบีเอสเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เวลา 22.00 น. (คลิกดู“ยิ่งลักษณ์”ไขข้อข้องใจ”ผลประโยชน์ชินวัตร”ผ่านถามตรงของ”ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา”)ยืนยันว่า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ของครอบครัวและตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ส่วนผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจของครอบครัวชินวัตรที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ  น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกแต่เพียงว่า ได้ลาออกจากผู้บริหารของบริษัท(บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น)ที่เป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตรแล้ว
           ทั้งการประกาศและการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาประชาคมของ(ว่าที่)นายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะการไม่เห็นแกผลประโยชน์ของครอบครัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะและการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
จึงอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบคำถาม ดังต่อไปนี้
          หนึ่ง ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กล้ายืนยันหรือไม่ว่า นอจากไม่ขัดขวางแล้ว จะปล่อยให้การดำเนินการ “ถอดยศ”และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส ไม่“สองมาตรฐาน” หลังจที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี”พี่ชาย”ตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 ในคดีการซื้อที่ดินรัชดาฯจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ การดำเนินการ“ถอดยศ” พ.ต.ท.ทักษิณถูกยื้อมาเป็นเวลานานโดย สตช.หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาถึง 2 ครั้งซึ่งได้รับการยืนยันทั้งสองครั้งว่า สตช.มีอำนาจตามกฎหมายในการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่ สตช.จะประวิงเวลา(เพื่อเอาใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์?)ต่อไปอีก(คลิกดู “สองมาตรฐานว่าด้วยการถอดยศ “ทักษิณ”)
       ตรงกันข้าม ถ้า สตช.ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน น.ส. ยิ่งลักษณ์ต้องลงโทษผู้รับผิดชอบใน สตช.ด้วย
        ส่วน ถ้าจะมีการนิโทษกรรมกันภายหลังแล้วจะขอพระราชทานคืนยศและคืนเครื่องราชฯให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ไม่ควรจะนำมาเป็นข้ออ้าง ทำให้เกิด”สองมาตรฐาน”
        สอง ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท ศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น”นอมินี”หรือผู้ถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ป  20 ล้านหุ้น แทน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณโอนให้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543
         ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2546-2548 รวม 6 งวด เป็นเงินรวม 97.49 ล้านบาท โดยงวดที่ 3-6 ปี 2547-2548 เป็นเงิน 70.1 ล้านบาทนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์” ใช้เช็คเงินสด 42 ฉบับ ถอนเงินสดๆ ออกจากบัญชีครั้งละ 1 ล้าน 1.5 ล้าน และ 2 ล้านบาท ฯลฯ ติดต่อกันเกือบทุกวัน จนหมดทุกครั้ง
            น.ส. ยิ่งลักกษณ์อ้างว่า นำเงินไปใช้  เช่น ซ่อมบ้าน สร้างสระว่ายน้ำ ซื้อเครื่องประดับ ซื้อเงินตราต่างประเทศฯลฯ แต่ไม่หลักฐาน(การจ่ายเงิน-ใบเสร็จรับเงิน)ใดๆไปแสดงต่อศาลฎีกาฯว่า ทำให้ศาลวินิจฉัยว่า คำให้การของ “ยิ่งลักษณ์” รับฟังไม่ได้
          จากพฤติกรรมการถอดเงินสดๆนับล้านติดต่อกันเกือบทุกวันเป็นเวลา 10 วัน เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่า หลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน?
       คำถามคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์นำเงินสดๆครั้งละ 16-19 ล้านบาทถึง 4 ครั้ง(เงินปันผล 4 งวด)ไปทำอะไร ทำไมจึงไม่กล้าเปิดเผยความจริง?
       ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างแล้ว จะไปทำเรื่องอื่นๆใให้โปร่งใสได้อย่างไรและอาจจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพรรคฝ่ายค้านต่อไป
สาม บริษัท วินมาร์ค ลิมิตเต็ด บนเกาะบริติชเวอร์จิ้นเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวชินวัตรหรือไม่
       ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.เอสซีฯ ซึ่งบริษัท วินมาร์ค เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทประมาณร้อยละ 20 (ต่อมาโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้ 2 กองทุนในมาเลเซีย) และยังถือหุ้นชินคอร์ปอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่มีการปกปิดไว้
     ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2549 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะกรรกมารผู้อำนวยการเอสซีฯ ชี้แจงต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์( ก.ล.ต)ว่า บริษัทวินมาร์ค และ 2 กองทุนในมาเลเซียมิได้เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัวชินวัตร ซึ่งขัดต่อพยานหลักฐานที่ ก.ล.ต. ได้จากการตรวจสอบ ซึ่งระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผู้จัดตั้งกองทุนซิเนตรา ทรัสต์และถือหุ้นกันเป็นทอดไปยังบริษัท บลูไดมอนท์, วินมาร์ค และ 2 กองทุนในมาเลเซียและบริษัทเอสซีฯ ตามลำดับและนำพยานหลักฐานดังกล่าวไปให้การต่อศาลฎีกาฯในคดียึดทรัพย์
       คำถามคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังยืนยันหรือไม่ว่า บริษัทวินมาร์คมิได้เกี่ยวข้องใดๆกับครอบครัวชินวัตร หรือถ้ายอมรับว่า บริษัทวินมาร์คเป็นของครอบครัวชินวัตร
        ทำไมตอนนั้นจึง(โกหก?)ไม่บอกความจริงต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
หรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของครอบครัวชินวัตร แต่ทำลายระบบของตลาดหลักทรัพย์?
       ไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กล้าตอบคำถามเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ หรือต้องรอให้ใครเขียนสคริปต์ให้ก่อน?

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ร้านค้าเสมือนจริงที่แดนโสม...เจ๋งจริง ไรจริง


ด้วยภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้คนเกาหลีใต้สามารถช็อปปิ้งกันได้แม้ขณะรอรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดิน ทางกลับบ้าน ด้วยผลงานร้านค้าแบบเสมือนจริงจาก Tesco Homeplus

จากภาพจะเห็นเป็นรูปสินค้าที่ถูกติดตั้งไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน วิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่ายมีขั้นตอนดังนี้
1. ลูกค้าต้องการช็อปปิ้งสินค้าตัวไหน ก็เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code ที่ติดอยู่กับรูปสินค้าเท่านั้น
2. สินค้าก็จะถูกจัดเก็บในระบบตะกร้าสินค้าอัตโนมัติ
3. หลังจากที่คุณชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เมื่อคุณเดินทางกลับถึงบ้าน สินค้าที่คุณช็อปปิ้งก็จะถูกจัดส่งไปที่หน้าบ้านเลย
โอ้โหสุดยอดจริงๆ ไม่ต้องเข็นรถเข็นหรือหิ้วตะกร้ากันให้เมื่อยอีกต่อไป แต่ระบบนี้คงไม่ถูกใจสำหรับคนที่ชอบเดินเลือกสินค้าแบบ จับๆ ดมๆ ชิมๆ
ลองดูวีดีโอขั้นตอนการทำงานของเขาที่นี่  http://www.gotcyder.com/2011/07/353/

virtualstore06.jpg

virtualstore01.jpg
virtualstore03.jpg

virtualstore02.jpg

virtualstore04.jpg

virtualstore05.jpg

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

9 คำกำกวมของอิสตรี




(1) ดี,โอเค: คำนี้ผู้หญิงใช้ปิดการโต้เถียงตอนที่เธอมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก และคุณต้องหุบปากซะ

(2) ห้านาทีนะ: ถ้าหล่อนกำลังแต่งตัว นี่จะหมายถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ห้านาทีก็คือห้านาทีถ้าเธอเพิ่งยอมให้คุณดูบอลต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยไปช่วยเธอทำงานบ้าน

(3) ไม่มีไร: นี่คือความสงบก่อนพายุจะเข้า มันแปลว่า"มีอะไร"แน่ ๆ ขอให้เตรียมตัวได้เลย การโต้เถียงที่เริ่มด้วย "ไม่มีไร" มักจะไปจบลงที่ "ดี,โอเค"

(4) ก็เอาดิ,เอาเลย: นี่เป็นคำท้า ไม่ใช่คำอนุญาต อย่าทะลึ่งทำเป็นอันขาด!

(5) ทำเสียง ชิ,ฮึ,จึ๊ ฯลฯ ออกมาดัง ๆ: มันมีความหมายแน่นอน แต่อาจจะเป็นภาษามักทำผู้ชายเข้าใจผิด เสียงพวกนี้หมายความว่าเธอกำลังคิดว่าคุณแม่งซื่อบื้อเหลือทน และไม่เข้าใจว่าจะมาเสียเวลายืนเถียงกับคุณเรื่อง"ไม่มีไร"แบบนี้ทำไม (กลับไปดู "ไม่มีไร" ที่ข้อ 3)

(6) ไม่เป็นไร: นี่คือสถานะอันตรายสุด ๆ ที่ผู้หญิงจะมีต่อผู้ชายแล้ว "ไม่เป็นไร"แปลว่าเธอต้องคิดดูก่อนอย่างนานและอย่างหนักว่าคุณต้องชดใช้อะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ ในความผิดที่คุณก่อไว้

(7) ขอบคุณ: ถ้าผู้หญิงขอบคุณ อย่ามีคำถาม อย่ามัวทำเฉย ตอบรับคำเขาไปดี ๆ (แต่ขอเพิ่มหน่อยว่า ถ้าผู้หญิงพูดว่า "ขอบคุณมาก" อันนี้ประชดเต็มดอก เธอไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย อย่าได้ทะลึ่งตอบรับ ไม่งั้นคุณจะเจอกับ "เออ เอาเหอะ")

(8) เออ เอาเหอะ: เป็นวิธีที่เจ้าหล่อนจะพูดกับคุณว่า ไอ้เหี้ย!

(9) อย่าห่วงเลย,อือ เข้าใจละ: อีกหนึ่งสถานะอันตราย หมายความว่านี่คือบางอย่างที่เธอบอกให้คุณทำมาหลายครั้งละ แต่คราวนี้เธอจะทำเอง ซึ่งเดี๋ยวคุณก็จะถามว่า "เป็นไรอะ" แล้วคุณก็จะเจอกับข้อ 3.