วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไทยแลนด์ ก๊อด ทาเลนท์...จริงเหรอ?



ก๊อด ทาเลนท์
                กลางดึกวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในสื่อสังคมออนไลน์กระหึ่มอีกครั้ง หลังจากผลการตัดสินของการแข่งขันไทยแลนด์ ก๊อด ทาเลนท์ ออกมาคือน้องไมร่า คว้าเงินรางวัลเหยียบ 10 ล้านบาทไปครอง ด้วยการร้องเพลงในแนวโอเปร่า จนคนโหวตให้คว้าแชมป์สมัยแรกไปครอง
                ผมเองถือว่าค่อนข้างเชย เพราะเพิ่งมาดูรายการนี้ ก็ผ่านมาถึงรอบสุดท้าย  มีผู้เข้าร่วมแข่งขันเหลือเพียง 12 ทีม เพื่อโชว์ผลงานรอบสุดท้าย หลังนั่งดูทุกโชว์จบ ผมยกมือเชียร์ให้ทีมคิดบวกสิปป์ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นไทย ที่เน้นเอกลักษณ์แบบโขน แต่แสดงในรูปแบบของเงา
                ดูแล้วต้องขนลุก เพราะจุดไคลแม๊กซ์เวลาจบ มักเกี่ยวกับเฉลิมพระเกียรติในหลวง และทำได้ชื่นใจคนไทยทั้งประเทศ
                ส่วนผู้แข่งขันท่านอื่นๆก็ทำได้ดี มีจุดน่าสนใจแตกต่างกัน แล้วแต่มุมมองของผู้ชม
                แต่รายการประเภทนี้ ซึ่งถือเอาผลของการโหวตของผู้ชมมาเป็นเครื่องตัดสิน มักจะสร้างความดีใจและเสียใจให้กับกองเชียร์ทั้งหลาย
                รวมถึงหลายฝ่ายที่มองว่าค้านสายตา
                ทำให้ช่วงที่ผ่านมาก็มีเสียงซุบซิบ นินทา รายการนี้จากคนดู รวมถึงมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่ารายการไทยแลนด์ ก๊อด ทาเลนท์ อาจจะมีอะไรที่ไม่ชอบมา พากล
                เพราะมีข่าวจากผู้ไม่หวังดีว่า ผู้ประกวดคนหนึ่งคือน้องเบลล์ นันทิดา ที่ดูภายนอกเหมือนผู้หญิง แต่ความจริงเธอเป็นชาย พอถึงเวลาแสดงสามารถหลอกคนดูว่าเธอเป็นหญิง ก่อนตบมุข เปลี่ยนเสียงมาเป็นผู้ชาย ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมรวมถึงคณะกรรมการทั้งสามคน
                ข่าวลือบอกว่า เธอตกรอบแรก เพราะกรรมการเห็นว่าความสามารถนี้ มีให้เห็นหลากหลายคน ไม่ว่าจะเป็น แต่หลังจากที่มีคนเอาโชว์ของเธอไปลงในยูทูป ปรากฏว่าเกิดกระแสคลั่งไคล้การแสดงเธอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดาขาเน็ตแห่งเมืองมังกร ที่คลิกเข้ามาดูเป็นล้านคน
                จนทำให้ชื่อเสียงน้องเบลล์ กระหึ่มในอินเตอร์เมืองจีน และเป็นข่าวไปทั่วโลก สุดท้ายข่าวลือเลยลงความเห็นว่า คณะกรรมการเปลี่ยนใจให้เธอกลับเข้ามาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ เหมือนเดิม
                งานนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะว่าคะแนนโหวตนั้นเราไม่รู้ ไม่เห็นว่ามีคนโหวตเธอมากน้อยขนาดไหน ซึ่งความจริงเธออาจจะผ่านมาด้วยเสียงโหวตที่ชื่นชมเธอ ไม่ใช่ข่าวลือที่ออกมาก็ได้
                แต่ที่แน่ๆคือรายการประเภทนี้ มักจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการทำธุรกิจการค้าแบบหนึ่ง ที่ผ่านในรูปแบบของการส่งเอสเอ็มเอส เพื่อโหวตคะแนน
                แต่ละรอบ แต่ละคะแนน ถ้าเอาตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ผู้ชมกดโทรศัพท์โหวตเข้ามาให้ นั้นจำนวนเงินมหาศาลแค่ไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นแจมกันระหว่างเจ้าของรายการกับค่ายมือถือ
                ผมเองไม่สนใจหรอกครับว่า ผู้ชนะจะต้องเป็นใคร หรือการแสดงโชว์ชุดไหน เพราะทำได้แต่เชียร์ และผมเองก็ไม่เคยโหวตกับชาวบ้าน ชาวช่องเค้า พอพิธีกรประกาศผู้ชนะ ก็อาจจะเสียใจบ้าง เมื่อคนที่เราเชียร์พลาดจากตำแหน่งแชมป์ แต่ไม่ถึงกับโวยวาย ว่าคณะการลำเอียง หรือมีอะไรซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องเข้าใจความจริงที่ว่าคะแนนที่ได้เป็นคะแนนของคนดู และคนเชียร์ผู้ประกวดรายนั้น ไม่ใช่คะแนนที่ผ่านจากคณะกรรมการที่จัดการแข่งขัน คนที่ได้คะแนนโหวตสูงสุดอาจจะไม่ใช่ ก๊อด ทาเลนท์ ที่สุดในใจคุณ
                ขอเพียงอย่างเดียวว่า เวลาพิธีกรประกาศผู้ชนะ ขอเปลี่ยนประโยคที่ว่านี่คือคะแนนเสียงของคนไทยทั้งประเทศ... ขอเปลี่ยนเป็นผู้ที่ได้รับการโหวตผ่านมือถือค่าย... สูงสุดคือ...
                อย่าทำเนียน แล้วเหมารวมว่าเป็นมติของคนไทยทั้งประเทศ..อีกต่อไปเลย
                                                                                                                                                กุนซือ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตุ๋นขายกระเป๋าแบรนด์เนม

 


























หลอกขายกระเป๋าในเว็บ Siam Brand Name

มีเรื่องจะเล่าจากประสบการณ์จริงเพื่อที่จะเตือนเพื่อนๆที่ยังซื้อขายของตามเว็บอยู่นะค๊ะ  เรื่องมีอยู่ว่าโดยปกติเรากะเพื่อนๆที่ทำงานชอบซื้อของในเว็บ Siam Brand Name ก็ซื้อขายมาเป็นปีๆ ไม่เคยมีเรื่องอะไร

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2511 ที่ผ่านมา เราเห็นโพสต์อันนึง ขายกระเป๋า Louis Vuitton Speedy เป็นของใหม่เอี่ยม ราคาจะถูกกว่าโพสต์อื่นๆประมาณ 1,000 บาท โพสต์อื่นประมาณ 22,000 แต่คนนี้ขายประมาณ 21,000 ซึ่งก็เป็นกระเป๋าที่กำลังอยากได้อยู่ เลยโทรถามกับเด็กคนนี้ ใช้ชื่อว่า ออยและใช้ user name : saimonsaysay1@gmail.com ก็ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย โดยมันนัดให้มาเจอที่สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ พอมาเจอกัน เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 20กว่า หน้าตาใส น่ารัก แต่งตัวดี ผิวขาว คือดูดีไฮโซเลยหละ ก็คุยกัน ดูของนิดหน่อย เนื่องจากว่า ของที่เอามารรจุในถุง + ถุงผ้า + กล่อง LV อย่างสวย เรียบร้อย เนียบมาก เราเองยังชมเลยว่าหิ้วกล่องมาด้วยเลยเหรอ เป็นพี่ ไม่แบกมาหรอก ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเป็นของใหม่ด้วยหนะ พอกลับมาบ้าน เราก็ไม่ได้แกะ วางทิ้งไว้เพราะจะต้องรีบออกไปต่างจังหวัด

ตอนกลางคืน อีนี่ก็โทรมาคุย นู่น นี่ นั่น ประมาณสนิทไปโดยปริยาย  แล้วบอกว่ามี Mulberry Alexa 2nd hand จะขาย ซื้อมาตอนไปเรียนที่อังกฤษ แต่มันใหญ่ไป ขาย 35,000 เราก็ไม่เอา แต่จะถามเพื่อนให้ ปรากฏเพื่อนกำลังอยากได้ ก็ตกลง โอเค นัดกับมันเองที่ La Villa ตรงซ.อารีย์  เราเองก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เพื่อนบอกว่า น้องเค้าน่ารักมากเลย ลดให้อีก 2,000 แหนะ

หลังจากนั้นมันก็จะส่งแมสเสจมาคุยเล่น ประมาณสร้างความสัมพันธ์สุดฤทธิ์ แต่ตอนนั้นเราก็ยังอยู่ต่างจังหวัดนะ แล้วมันก็บอกว่า เพื่อนที่ศศินทร์ (ซึ่งอีนี่ก็ตอแหลว่ามันเรียนอยู่ที่นี่เช่นกัน) จะไปฮ่องกง  พี่อยากได้ LVอะไรไม๊ เพื่อนมันพักอยู่ตรงนั้นเลย ก็ซวย สั่งมันไปอีก 2 ใบ 40,000 กว่าบาท แล้วพออีก 2 วันมันก็นัดมาเจอที่ โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ คราวนี้ยิ่งสะเพร่า แทบไม่ได้เช็คไรเลย เพราะคุยกันบ่อยแล้ว แล้วคราวนี้นอกจากมีกล่อง มันมีโบว์ของขวัญของ LV มาด้วยเลย โฮ๋ ประทับใจมากคะ เนียบ สวยมาก

พอวันรุ่งขึ้นเพื่อนเราก็ไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งมีแม่ๆคนอื่นก็ใช้ Mulberry รุ่นนี้ เลยเอามาดูกัน ปรากฏมีแม่คนนึงเค้าก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ที่ไม่เหมือนกัน เลยเข้าเว็บเพราะบังเอิญมี ipad พอดี เพื่อเช็คการดูกระเป๋าปลอมรุ่นนี้ เป็นจริงดังคาด 10 จุด.....ปลอมทุกจุด เพื่อนเราก็เลยโทรหาเราทันที ซึ่งเราทั้ง 2 คนยังคิดดีว่า เอ๊ะ หรือน้องเค้า ซื้อมา
ขายต่อเรา แล้วเค้าจะรู้ไม๊เนี่ย ว่ามันปลอม เราก็เลยรีบกลับมาดูที่บ้านอีกที โดยเอาของอันอื่นที่แท้แน่นอนมาเทียบ ใช่เลย ปลอมจริงๆ  ก็งงๆ แล้วพลาด ดันโทรไปหามัน โทรไปเพื่อบอกว่า น้องรู้ยังว่ามันปลอม ต้องบอกว่าอยากเขกหัวตัวเองมาก มันก็ จริงเหรอคีะ ตายแล้ว ตกใจมากเลย และหักบัตรโทรศัพท์ทิ้งทันที พอโทรกลับไปอีก ติดต่อไม่ได้ ตอนนั้นแหละถึงได้คิดออกว่าอีนี่มันตั้งใจมาโกง

คือเราเนี่ย โง่มาก ยอมรับเลย สะเพร่ามากด้วย แต่เพราะ เราไม่เคยคิดจะโกงใคร ก็เลยไม่คิดทำไรเลวๆ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน สร้างลุคอะไรอย่างมันไง  แล้วมันคงทำกันเป็นกระบวนการ หลายคน เพราะอยากได้อะไร มีหมด ขอบอกว่า ทุกอย่างที่มันเอามา ถุงเอย กล่อง โบว์ ทุกอย่างแท้หมด ยกเว้นกระเป๋านั่นแหละที่ปลอม

หลังจากนั้นเราก็คิดว่า อีนี่เด็กขนาดนี้ ยังโกง ก่อคดีขนาดนี้ พ่อ-แม่มันรู้ไม๊ ลูกมันเป็นมิจฉาชีพขนาดนี้ เรากะเพื่อนก็เริ่มดำเนินการโดย
1.ลงบันทึกประจำวันทั้ง สน. พหลโยธิน และ สน. ยานนาวา ซึ่งตอนนี้ทั้ง 2 สน. ก็คอยรอรับเบาะแส ถ้ามีใครแจ้ง
2.ไปเช็คที่ ศศินทร์ ว่ามีมันไม๊ ทางมหาลัยให้ความร่วมมือดีมาก ช่วยทุกอย่าง แต่ไม่มีมันหรอก ประมาณสร้างภาพให้ดูดี หรืออยากเรียน แต่ไม่มีปัญญา ประมาณนั้น  ซึ่งเค้าก็ขอว่าถ้าจับได้ให้แจ้งเค้าด้วย เพราะเค้าต้องการแจ้งความที่มันใช้มหาลัยเค้าแอบอ้าง
3. ติดต่อ Siam Brand Name ขอ IP Address ซึ่งก็ให้ความร่วมมือดีมาก เพราะเค้าก็อยากให้เราจับได้ มันทำให้เสียชื่อเค้ามากเหมือนกัน แต่มันใช้ air card ก็ยังลำบากในการหาตัวมันอยู่
4. ไปกระทรวง ICTให้เค้าดูประวัติการใช้ ซึ่งเค้าก็ช่วยทุกอย่างดีมาก
5. ไปรถไฟฟ้า เพื่อดูกล้องวงจรปิด หาทุกจุด จนได้ภาพมาอย่างที่เห็นนั่นแหละ ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่คอยจับตา เค้าก็ช่วยอยู่เต็มที่ ถ้ามันยังขึ้นอยู่อีกเรื่อยๆ คงได้เจอมันซักวัน
6. โทรศัพท์ สืบจนรู้ว่ามันใช้ Dtac แต่เป็นเติมเงิน ลำบากในการหาเหมือนกัน ขั้นตอนเยอะ แต่ก็ขอ call history ไปแล้ว

เราโพสต์เรื่องนี้ให้เพื่อนๆอ่านเป็นอุทาหรณ์ ว่าต้องระวังให้มาก อย่าเชื่อ ต้องศึกษาตรวจเช็คให้ดี หรืออย่ามองแค่ลุคภายนอก อีพวกนี้มันจะใช้จุดอ่อนของการที่เราไม่เรื่องมาก ไว้ใจง่าย มาหลอกเรา แล้วตอนนี้ก็รู้แล้วว่า ทำไมมันไม่เคยยอมให้เราโอนเงินไปให้ก่อน แล้วมักจะบอกว่า อยากให้พี่เห็นของก่อน เผื่อไม่ชอบ จะได้ไม่ต้องซื้อ ที่แท้ ถ้ามีการโอนเงิน ก็จะตามตัวจากที่อยู่ได้จากธนาคาร ซึ่งก็เพิ่งมานึกออก เราอยากให้เพื่อนๆช่วยดูรูปมัน เผื่อมีเบาะแส เพื่อนเราโพสต์เรื่องมันลงใน Siam Brand Name มีหลายคนโดนมันหลอกมาแล้ว คิดดูนะ....มันหลอกแค่ วันละคน 2คน ทำเงินได้ วันนึงหลายหมื่น ขนาดเรากะเพื่อน อาทิตย์กว่าๆ โดนไป แสนนึง ก็ไม่อยากให้ใครๆโดนมันทำแบบนี้อีก

เรื่องของเราได้ออกรายการ นาทีฉุกเฉิน เมื่อวันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2554 ด้วยนะคะ เผื่อใครอยากกลับไปดูคะ

ถ้าต้องการแจ้งเบาะแส ติดต่อเราได้ที่ 081-8074011 หรือ เพื่อนเรา 081-8073644

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรงเรียนของหนู บนยอดภู ภาค 2


ตะลุย บ้านแม่หืด(2)
                คราวก่อนเขียนค้างไว้สำหรับเป้าหมายของชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ นำทัพโดยพี่ตุ้ย ตอแย ประธานชมรมซึ่งปีนี้ปักหมุด จะลำเลียงผ้าห่ม เครื่องกันหนาว ยา รวมถึงเครื่องอุปโภค บริโภคให้กับหมู่บ้านในถิ่นทุรกันดาร โดยตั้งเข็มทิศไว้ที่หมู่บ้านแม่หืด ต.บ่อหลวง อ.ฮอด
                แถมปีนี้มีประธานร่วมคือ สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยครู-มหาวิทยาลัยราชภัฏ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีคุณพี่เศวต เวียนทอง นายกสมาคม ถือธงนำหน้าขอแจมเป็นเจ้าภาพทำบุญร่วมกัน
                ผมเองเดินทางไปสำรวจเส้นทาง รวมถึงความเป็นอยู่ของหมู่บ้านเมื่อประมาณต้นเดือนที่ผ่านมา ขับรถเข้าป่า(จากสวนสน อ.ฮวด)ประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงเป้าหมาย
                บ้านแม่หืด เป็นหมู่บ้านของชาวกระเหรี่ยง ตั้งชุมชนอยู่ประมาณ 200 ครัวเรือน ที่นี่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างเดียว ไฟฟ้าไม่มี ท่อประปามาไม่ถึง ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำไร่ ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด หาของป่าประทังชีวิต
                ในหมู่บ้านมีโรงเรียนเล็กๆอยู่โรงเรียนหนึ่ง แต่เมื่อผมได้พบ ได้สัมผัส บอกได้สั้นๆว่า นี่คือโรงเรียน ที่เป็นโรงเรียนจริงๆ  มีนักเรียนอยู่ประมาณ 30 กว่าคน คละกันไปตั้งแต่ ป.1 จนถึง ป.6
                โรงเรียนนี้ขาดหนังสือเรียน ขาดสมุด ขาดดินสอ มีกระดานดำเก่าๆแปะอยู่ข้างฝา อยู่ในสภาพชุลมุน เพราะห้องเรียนห้องเดียวนั้น มีนักเรียนอยู่ 6 ชั้นปี นั่งปะปนกัน หลับตานึกถึงภาพครูผู้สอนว่า จะต้องแยกโสต แยกประสาทกันขนาดไหน เวลาถึงเวลาเรียน
                ข้างหน้าโรงเรียน มีสนามหญ้า ซึ่งนับต้นหญ้าได้เพียงไม่กี่ต้น นอกนั้นก็เป็นดินแข็งๆ มีเสาประตูฟุตบอลทำด้วยไม่ผุๆ ตรงนี้เป็นสนามกีฬาในฝันของเด็กชาวกระเหรี่ยง เอาไว้เตะบอล วิ่งเล่น ช่วงพักกลางวัน
                แต่เชื่อมั้ยครับว่า โรงเรียนจะมีสภาพทรุดโทรมแค่ไหน เด็กๆตื่นเช้ามาก็เดินหน้าเข้าโรงเรียนทุกวัน
                ครูสมชาย ซึ่งทำหน้าที่ทั้งครูใหญ่  ครูประจำชั้น แม่ครัว รวมถึงภารโรง  เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้เขาจะเป็นครูเพียงคนเดียว ที่ทำหน้าที่ครูให้กับเด็กๆในชนบทแห่งนี้มา 18 ปี  แต่ยังไม่เคยวางแผนชีวิตว่า จะหนีกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงราย
                ครูสมชาย เป็นครู ที่ผมบอกได้ว่าเป็นยิ่งกว่าครู เพราะต้องเสียสละ เอาอนาคตทั้งหมดมาจบที่กลางป่า กลางดอย โดยไม่เคยเรียกร้องขอรางวัลจากใคร เงินเดือนที่มีอยู่น้อยนิด พอเดินทางเข้าเมืองมาเบิก กลับไปเข้าป่าก็ต้องซื้อบรรดามาม่า ยำยำ กลับติดมือ เพราะนั่นคือ มื้อเที่ยงของเด็กๆทุกคน
                ตอนเช้าสอน กลางวันทำครัว ตกเย็นถือไม้กวาดเป็นภารโรง ถือเป็นบุคคลในระดับ 3 in 1 ที่ต้องยกนิ้วให้
                ผมถามคุณครูผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ว่า อยากได้อะไร ครูสมชายบอกว่า อยากได้ บะหมี่สำเร็จรูป เพื่อเป็นอาหารกลางวันสำหรับเด็กๆ  อยากได้ยาพาราฯ ยาแก้ปวดท้อง เพราะเด็กๆมักจะเป็นไข้ และปวดท้องอยู่บ่อยๆ อยากได้หนังสือเรียนดีๆ เพราะทุกวันนี้บทเรียนที่สอนใช้กระดาษรีโซเคิล ไปถ่ายเอกสารจากคู่มือการสอน แล้วเอามาสอนเด็กๆอีกครั้งหนึ่ง
          ดีมานด์ทั้งหมด อยู่ที่เด็กล้วนๆ
          ถ้ามีเวลาว่าง อยากชวนคุณๆมาเปิดเพลงโรงเรียนของหนู หลับตานั่งฟังด้วยกัน เผื่อจะนึกภาพออก ว่ายังมีคนที่เดือดร้อนเงยหน้ามองพวกเราๆทั้งหลาย อีกเยอะ ถ้าใครสนใจอยากเป็นส่วนหนึ่งช่วยเหลือคนเหล่านี้  ติดต่อได้ที่เชียงใหม่นิวส์ได้ทันที ทุกวัน ไม่มีวันหยุดก่อนวันเดินทางคือวันที่ 4 ธันวาคม นี้นะครับ
                                                                                               
                                                                                                                                กุนซือ
                                                                                                P_kiti@hotmail.com

โรงเรียนของหนู บนยอดภู



ตะลุย บ้านแม่หืด
                ถือเป็นภารกิจทุกปีของชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ ที่จะต้องบุกป่า ขึ้นดอย เพื่อนำสิ่งของไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม เครื่องกันหนาว เครื่องอุปโภค บริโภค ไปให้กับชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร โดยมีนโยบายหลักที่ตั้งไว้ คือต้องห่างไกลจากความเจริญ และยากจน แต่ละปีนักข่าวทั้งหลายจึงแปลงร่างเป็นรพินทร์ ไพรวัลย์ กันปีละหน
                ปีนี้ได้พันธมิตรเพิ่มคือ สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัย-มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่  ซึ่งมีคุณพี่เศวต เวียนทอง นายกสมาคม โดดเข้ามาเป็นเจ้าภาพร่วม เรียกว่าคนละไม้ คนละมือ ช่วยกันระดมหาสิ่งของเพื่อช่วยเหลือคนที่กำลังประสพกับภัยหนาวที่ว่ากันว่า ปีนี้จะหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี โดยปักธงดีเดย์เคลื่อนพลวันที่ 4 ธันวาคม 2553
                ผมในฐานะ แม่บ้านของชมรมฯคล้องแขน คุณพี่ฟ้าฮ่าม เดินทางขึ้นไปสำรวจเส้นทางรวมถึงสอบถามความต้องการของชาวบ้านว่าต้องการอะไรบ้าง เพื่อให้กลไกตลาดเดินทางได้อย่างถูกต้อง
                ตามกฎ..... ดีมานด์เท่ากับซัพพลาย
                สตาร์ทรถ ล้อหมุนออกจากเมืองเชียงใหม่ ขับรถไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปพบกับ พ.ต.ท.สมชาย  พุ่มพวง สารวัตรสืบสวน สภต.บ่อหลวง ที่บริเวณลานสวนสน อ.ฮอด โดยท่านสารวัตรซึ่งถือได้ว่าเป็นแม่งานในครั้งนี้ เป็นคนประสานงานพร้อมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับทริปนี้
          แถมยังอาสาเป็นคนขับรถ นำรถส่วนตัว พาผมกับคุณพี่ฟ้าฮ่าม บุกป่า ขึ้นดอยด้วยตัวเอง
          งานนี้สารวัตรใหญ่นำ  เหยี่ยวข่าวข้างหลังเลยต้องนั่งสงบเพื่อส่งใจเชียร์
                เส้นทางก็เหมือนกับทริปแจกผ่าห่มทุกปีคือ เป็นหลุม เป็นบ่อ ข้ามลำน้ำ ลำห้วย และเลาะไปตามสันเขา งานนี้ต้องใช้พาหนะที่เหมาะกับภารกิจคือ รถโฟร์วิล  รถปิ๊กอัพ หรือมอเตอร์ไซต์เท่านั้น
                ส่วนทางเลือกที่เหลือมี 2 อย่างคือ  เดินกับขี่ม้า
                ผมนั่งหัวสั่นหัวคลอน ประมาณเกือบสองชั่วโมง ก็ถึงเป้าหมาย หมู่บ้านแม่หืด ซึ่งเป็นหมู่บ้านอยู่กลางป่า และตั้งอยู่กลางหุบเขา  ไม่ต้องบอกว่าพอตะวันลับ อากาศจะหนาวเหน็บแค่ไหน
                ถึงแม้ว่าบ้านแม่หืด ทั้งหมู่บ้านจะไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่อย่างน้อย ก็ยังโชคดี ที่มีแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ได้ตลอดปี เพราะชาวบ้านทำอ่างเก็บน้ำเพื่อรองรับน้ำฝน บริเวณข้างๆหมู่บ้าน เพื่อนำไปใช้ในหน้าแล้ง
                ส่วนหน้าฝน ไม่ต้องถามถึงว่า ชีวิตจะเป็นอย่างไร
                เข้าทำนองว่า คนในห้ามออก  คนนอกห้ามเข้า
                เพราะเส้นทางที่ทุรกันดาร เมื่อถึงฤดูฝน ก็จะกลายเป็นถนนโคลนทันที รถราไม่สามารถสัญจรได้ ก็ต้องเดินออกจากป่ามาซื้อเสบียง นับก้าว นับรถระยะทาง สิริรวมทั้งหมดประมาณ 10 กิโลเมตร
                นึกภาพแล้วก็ต้องบอกว่าเหนื่อยแทน  ผมนั่งรถเข้าไปยังยอมรับว่าค่อนข้างลำบาก ถึงแม้ว่าถนนจะสมบุกสมบันแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็เป็นถนนแห้ง ไม่เป็นโคลน เหมือนกับหน้าฝน ที่ถ้าจะฝืนเอารถวิ่ง รับรองว่ามีลื่นไหลตกเหวกันเป็นแถวแน่นอน
          คิดกันเล่นๆว่า สมมุติเราเป็นชาวบ้านแม่หืด พอเข้าหน้าฝน ต้องเดินออกไปซื้อเสบียง  ขาไปเดินย่ำโคลน ลุยเลนกันออกไป กว่าถึงจะถึงถนนใหญ่ อย่างเราๆท่านๆ ถึงแม้ว่าจะเข้าฟิตเนสกันทุกวัน รับรองว่า เดินกันอย่างน้อยครึ่งวัน
                อีตอนขากลับพร้อมเสบียงที่ต้องแบกหามอีกหละ เอาสองเข้าไปคูณได้เลยว่าลำบากขนาดไหน
                หลังจากไปสำรวจมา ถ้าใครมาถามผมว่า ถ้าเดินเท้าเข้าไปในบ้านแม่หืด ไกลแค่ไหน
                ตอบสั้นๆได้ว่า ไกลประมาณ  84  เหนื่อยเท่านั้นเอง
          โดยมีอัตรามาตราส่วน 1 เหนื่อยเท่ากับวิ่งรอบ 1 สนามฟุตบอล
               
                                                                                                                                กุนซือ

แชมป์ชุมชนออนไลน์



แชมป์เพื่อนออนไลน์
      หลายปีก่อนเพื่อนผมคนหนึ่งตั้งปัญหาถามผมว่า ลองทายดูว่า ถ้าเอาประเทศในแถบอาเซียนมายืนเข้าแถวกัน ประเทศไหนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวมากที่สุด  ไหนๆโดนลองภูมิ ผมเลยใช้กฏการเดา บอกไปว่า น่าจะเป็นประเทศไทย สยามเมืองยิ้ม ของเรานี่แหละ ที่ต่างชาติพากันเฮโลเข้ามาเที่ยวมาที่สุดในแถบอาเซียน
      แต่คำตอบที่ได้ กลับเป็นประเทศมาเลเซีย ครับ หลายคนอาจจะอุทานว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ที่ประเทศมาเลเซียจะแซงหน้าประเทศไทยในเรื่องการท่องเที่ยว
      เพราะเมืองไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือวัฒนธรรมต่างๆ
       แต่ตัวเลข ไม่เคยหลอกใครครับ มาเลเซียเขาครองแชมป์จริงๆ ที่เราๆท่านๆ แปลกใจเพราะเราไม่ค่อยสนใจที่จะไปท่องเที่ยวมาเลเซียต่างหาก ถ้าถามคนไทยว่า ถ้ามีงบประมาณไม่มาก ไม่มาย อยากไปเที่ยวต่างประเทศ จะกาชื่ออะไร รับรองว่าส่วนใหญ่เอาปากกาไปวงกลมฮ่องกง กันเป็นทิวแถวแน่ๆ 
       ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสไปพบกับรัฐมนตรีการท่องเที่ยวของมาเลเซีย ท่านบินตรงมาเชียงใหม่ เพื่อบุกเบิก อยากให้คนไทยไปรู้ ไปสัมผัสกับประเทศที่มีรั้วบ้านติดกันอย่างมาเลเซียบ้าง โดยเฉพาะคนเชียงใหม่ ที่มีสายการบินให้บริการบินตรงไปถึงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซียได้เลย
         ท่านบอกว่า คนมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง  แต่ในขณะเดียวกันคนไทยไปเที่ยวมาเลเซียน้อยมาก อยุ่อันดับรั้งท้ายโน่น ทั้งๆที่เขตแดน ค่าใช้จ่าย ก็น่าจะเอื้อให้ทั้งสองชาติไปมาหาสู่กันโดยง่าย
        นี่เป็นโจทย์ที่การท่องเที่ยวมาเลเซีย กำลังทำกันอยู่อย่างขมักเขม้น  เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การท่องเที่ยวมของมาเลเซียนั้น เขาวางแผน เปิดตลาดการท่องเที่ยวของประเทศเขาอย่างเป็นจริง เป็นจัง
       แถมทั้งภาคส่วนของรัฐก็ทำงานสัมพันธ์กันอย่างแข็งขัน ไม่ใช่ทำงานคนละทางเหมือนกับบ้านเรา หน่วยงานโน้นจะทำอย่างโน่น หน่วยนี้เกิดไอเดียแบบนี้ ขัดขากันไปมา ไม่จบสิ้น งบประมาณก็เสียเปล่า งานก็ไม่เดินหน้า 
        มาเลเซีย เสียเปรียบไทยเยอะครับ เขาไม่มีป่าไม้ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มากมายกว่าเรา โดยเฉพาะไม่มีชาติไหนในโลกหรอกครับที่โชคดี มีหาดทรายสวยๆ ลากยาวไปตลอดสองข้างของด้ามขวานทองของไทย ด้านหนึ่งก็อ่าวไทย บรรยากาศหาดทรายแนวหนึ่ง อีกด้านอันดามัน ก็สวยไปอีกแบบ หลับตาเอานิ้วจิ้มลงบนแผนที่ตรงไปก็ได้ในภาพใต้ ก็มีหาดทรายสวยๆรองรับ
       เมื่อเขาสู้ไม่ได้ เขาก็ต้องสร้างแรงจูงใจครับ เขามีตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ยืนตระหง่านดึงดูดนักท่องเที่ยว มีตึกรัฐสภาที่ยาวที่สุดในโลก ดึงการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง เอฟวัน เขามาแข่งขันในประเทศ แถมยังมีรายการกอล์ฟ พีจีเอ ชื่อดังที่ต้องมาจัดกันทุกปี นี่แหละครับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินการท่องเที่ยวของเขาชนะเราแบบไม่ยากเย็น
       ล่าสุด มาเลเซีย มีชือติดอันดับโลกอีกแล้วครับ  เมื่อบริษัทTNS ซึ่งสัมภาษณ์ผู้บริโภคจำนวน 50,000 ใน 46 ประเทศทั่วโลก พบว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีประเทศที่มีเพื่อนทางเครือข่ายชุมชนออนไลน์มากที่สุด เฉลี่ย 233 ตามด้วยบราซิล เฉลี่ย 231 และนอร์เวย์ เฉลี่ย 217 ส่วนประเทศที่มีเพื่อนทางเครือข่ายดังกล่าวน้อยที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น เฉลี่ย 29 คน และจีน 68 คน
          ซึ่งผลสำรวจนี้ชี้ว่า โลกได้มีวัฒนธรรมที่ปิดกั้นน้อยลง และกระชับความสัมพันธ์เป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อนมากขึ้น
          ส่วนของการใช้เวลากับการสื่อสารทางออนไลน์ มาเลเซียก็ยังครองแชมป์เป็นอันดับหนึ่ง หรือเฉลี่ย 9 ชม.ต่อสัปดาห์ ตามด้วยรัสเซีย เฉลี่ย 8.1 ชม.ต่อสัปดาห์ และตุรกี 7.7 ชม.ต่อสัปดาห์ และพบด้วยว่า ผู้บริโภคได้ใช้เวลากับสื่อเหล่านี้มากกว่าการส่งอีเมล์ถึงกันด้วย
       เมื่อสื่อในโลกออนไลน์เริ่มมีบทบาทกับชีวิตผู้คนบนโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   ก็มีคนแตกไอเดียว่าต้องหันมาใช้ประโยชน์จากกระแสของเครือข่ายชุมชนออนไลน์นี้อย่างไรทำให้นักวิจัยยุโรปเช่นอังกฤษ กำลังศึกษาว่า จะสามารถใช้เครือข่ายชุมชนออนไลน์นี้ เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คนในกรณีเกิดเหตุการณ์วิกฤตระดับประเทศได้หรือไม่ด้วย 
       นอกจากนี้ การใช้งานของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในตลาดเศรษฐกิจที่มีการเติบโตรวดเร็ว เพิ่มขึ้นแซงหน้าตลาดใหญ่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางอินเตอร์เน็ตที่ก้าวหน้ากว่า เช่น จีนและอียิปต์มีระดับการใช้งานออนไลน์มากกว่าตลาดอย่าง ญี่ปุ่น เดนมาร์กและฟินแลนด์ นอกจากนี้บล็อก และเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
          สุดท้ายผลสำรวจยังพบว่า  ผู้ใช้ออนไลน์ราว 88% ในจีน และ 51% ในบราซิล เขียนบล็อกของตัวเองหรือเข้าไปตั้งกระทู้แสดงความคิดเห็น ขณะที่ในสหรัฐมีเพียง 32% และผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทยมากถึง 92% นิยมอัพโหลดภาพถ่ายในเวบไซต์สังคมออนไลน์
        เขียนไปถึงบรรทัดนี้ เริ่มอิจฉามาเลเซีย ขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วละครับ
                                                                             กุนซือ                                                               

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โลกออนไลน์..ฉบับครบรอบเชียงใหม่นิวส์ 20ปี



ครบรอบ
โลกออนไลน์
                หลายปีก่อนเคยเขียนเอาไว้ว่าอาชีพนักข่าวเป็นอาชีพที่เข้าง่าย แต่ออกยากเพราะใครหลงเข้ามาทำอาชีพนี้แล้ว ส่วนใหญ่หลงเสน่ห์ ต้องมนตร์ ไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพไปไหน
                20 ปีทีผ่านมา ของเชียงใหม่นิวส์ จึงมาเร็วผิดปรกติ นักข่าวรุ่นเดอะ ทั้งหลายอาจจะอุทานขึ้นมาว่าเฮ้ย...20 ปีแล้วเหรอเพราะตอนช่วงตั้งไข่ กองบรรณาธิการของเชียงใหม่นิวส์ มีอยู่ไม่กี่ชีวิต บางคนต้องทำทั้งข่าวสังคม ข่าวบันเทิง เพราะคนมีน้อย บ่าของนักข่าวสมัยนั้นเลยต้องหนักผิดปรกติ
                เทียบกับตอนนี้ ที่มีน้องๆนักข่าว ไฟแรงทั้งหลายมาช่วยผ่อนแรง อยู่เต็มกอง บ.ก ก็ทำให้งานข่าวเดินไหลลื่นมากขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ตามกาลเวลา
แต่ที่เหมือนเดิมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือ บรรยากาศ ครับ
                บรรยากาศ ของกอง บ.ก เชียงใหม่นิวส์มีอยู่บรรยากาศเดียวครับคือบรรยากาศแบบครอบครัวแต่ละวันจะเห็นภาพนักข่าวทั้งหลายทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก พูดหยอกล้อ แซวกัน โดยมีน้องนักข่าวผู้หญิงทั้งหลายเป็นฝ่ายเสบียง  ซื้อขนมขบเคี้ยว มาเป็นกองกลางเพื่อภารกิจพิมพ์ไป กินไปของเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย
                ทำงานข่าวชั่วโมงนี้ค่อนข้างง่ายกว่าในอดีตมาก เพราะมีแหล่งข้อมูลระดับมหึมาที่ชื่ออินเตอร์เน็ต เอาไว้เสาะหาข้อมูล เทียบกับในอดีตกว่าจะได้ข้อมูลแต่ละอย่าง ต้องขับรถตระลอนๆไปที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง กว่าจะได้ข้อมูลมาเขียน
                ผมว่าโลกของเราเปลี่ยนไปและไม่มีทางเหมือนเดิม ตั้งแต่อินเตอร์เน็ต เริ่มอุแว้ ออกมาดูโลกนี่แหละครับ
 กระทรวงกลาโหม ของพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา ก็คงไม่คิดเหมือนกันว่า คอมพิวเตอร์ ที่หน่วยงานวิจัยการทหารของตนที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2512 นั้นจะเปลี่ยนชีวิตผู้คนบนโลกได้ถึงเพียงนี้
                ผมเองรู้จักอินเตอร์เน็ต ครั้งแรกก็ตอนกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ปีพ.ศ  2538 ที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ ก่อนซีเกมส์จะเริ่มแข่งขัน คณะกรรมการจัดการแข่งขันก็เชิญผู้สื่อข่าวทั้งไทย-เทศ ไปสัมผัสกับ เพรส เซนเตอร์ โดยแยกเป็นเพรส เซนเตอร์ ของไทยกับของนักข่าวต่างชาติ ไม่ปะปนกัน
                เดินเข้าไปในศูนย์ข่าว ก็ต้องตะลึง เพราะมีคอมพิวเตอร์วางเรียงราย แถมต่อระบบอินเตอร์เน็ต ให้เสร็จสรรพ ใครอยากดูข้อมูล  เช็คสถิติ ก็คลิกเข้าไปดูได้ทันที
                ปัญหาที่มีอย่างเดียวคือ นักข่าวส่วนใหญ่ ยังใช้ไม่เป็น ส่วนใหญ่เลยต้องเบือนหน้า เบนเข็ม มาหาของตายคือ พิมพ์ดีด เจ้าเก่า
                คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมอินเตอร์เน็ต ออนไลน์ไว้ให้ผู้สื่อข่าวทั้งหลายได้ใช้ จึงวางเรียงรายอย่างสงบ ผสมผสานด้วยเสียงข้าวตอก จากเครื่องพิมพ์ดีดของเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย
                หลังจากนั้นมา ผมบอกกับตัวเองว่า ต้องสลัดคราบนักข่าวโบราณออกให้ได้ แล้วเริ่มปรับบทบาทใหม่ให้เข้ายุค เข้าสมัยกับโลกยุคใหม่ใบนี้
                ลองถูก ลองผิด มาเรื่อยๆสไตล์ งูๆ ปลาๆ จนวันนี้อินเตอร์เน็ต เข้ามาซึมในร่างกายแบบไม่รู้เนื้อ รู้ตัว วันไหนไม่ได้เข้าเน็ต เหมือนชีวิตขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง
                ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า ณ.นาทีนี้ ข่าวที่เร็วที่สุด ไม่ใช่ทีวี ไม่ใช่วิทยุ หรือสำนักข่าวใดแต่เป็น ทวิตเตอร์
                ไม่ต้องยกตัวอย่างมาก แค่แผ่นดินไหวที่พม่าที่ผ่านมา  พอแผ่นดินโยกปุ๊บ คนแถวแม่สายทวิต ปั๊บ คนที่ใช้ทวิตเตอร์บนโลก รับรู้กันหมด ภายในระยะเวลาไม่ถึงนาทีจะมีข่าวไหนที่เร็วกว่านี่อีกมั้ย...สำหรับ ณ.บัดนาว ต้องบอกว่ายัง..ไม่มี
                ยิ่งอีตา มาร์ค ซักเคอเบิร์ก ดันมาสร้างเฟซบุ๊ค ขึ้นมาอีก คราวนี้เลย “go so big “ไปกันใหญ่(สำนวนพี่เบิร์ด ธงไชย) สำหรับผู้คนที่ขลุกอยู่กับโลกอินเตอร์เน็ต
                ถึงแม้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีผู้ใช้เฟซบุ๊ค มากที่สุดโลก
                แต่เชื่อมั้ยครับว่า ประเทศไทยนั้นมีอัตราคนใช้เฟซบุ๊ค เติบโตขึ้นเป็นอันดับที่สองของโลก ส่วนแชมป์ที่แต่ละปีมีประชากรในประเทศใช้เฟซบุ๊คมากที่สุดคือ เมืองกาแฟ ประเทศบราซิล ส่วนอันดับสามที่ตามมาอย่างห่างๆคือประเทศอินเดีย ที่มีประชากรพันกว่าล้านคน ยังต้องยอมซูฮกให้คนไทย
                เห็นมั้ย..เรื่องทันสมัยเนี่ย  พี่ไทยไม่เคยเป็นรองใคร
                ในเมืองไทยนั้นคนเล่นเฟซบุ๊คนั้นพบว่า ผู้หญิงเล่นเฟซ บุ๊ค มากกว่าเพศชาย  นักวิเคราะห์เขาบอกว่าอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิง ชอบการเข้าสังคม อยู่เป็นกลุ่มมากกว่าผู้ชาย ทั้งโลกจริงและโลกเสมือนมีข้อสังเกตอีกนิดคือ ผู้ชายจะมีสัดส่วนผู้ใช้มากกว่าผู้หญิงเมื่ออายุมากขึ้น เริ่มตั้งแต่อายุ 38 ปี ขึ้นไป -
                ส่วนอายุเฉลี่ยของคนไทยที่เล่นเฟซ บุ๊คมากที่สุดคืออายุ 20 ปี
                มีสถิติเกียวกับเฟซบุ๊ค ที่เขาประมวลเอามาให้ดูคร่าวว่า
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะมีเพื่อนประมาณ 130 คน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะมีเพื่อนมาขอเป็นเพื่อนด้วยราว 8 คนต่อเดือน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะใช้เวลาอยู่ในเว็บราว 55 นาทีต่อวัน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะกด link เนื้อหาที่ข้อมูลต่างๆ 9 ครั้งต่อเดือน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะเขียนแสดงความคิดเห็นในเนื้อหาของ content ที่พบเห็นประมาณ 25 ครั้งต่อเดือน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะเป็นแฟน (becomes a fan) ประมาณ 2 Pages ต่อเดือน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะถูกเชิญเข้าร่วม 3 events ต่อเดือน
                โดยเฉลี่ยผู้ใช้ facebook จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มอยู่ 12 กลุ่ม
                เมื่อโลกถูกย่อให้เล็กลงด้วย อินเตอร์เน็ต โลกออนไลน์ เลยเข้ามาอยู่ในลมหายใจของคนรุ่นใหม่ กันแบบไม่รู้ตัว ผมเองเวลาทำงานเริ่มสังเกตพฤติกรรมของน้องๆนักข่าว  ส่วนใหญ่ร้อยทั้งโลก ต้องเปิดเฟซ บุ๊ค ไว้ที่หน้าจอ บางคนตื่นเช้ามาเปิดคอมพ์ ก่อนทำงานก็ต้องไปเก็บผักมั้ง ทำกับข้าว   ตามประสาเฟซบุ๊ค สายๆหน่อยก็เริ่มโพสขึ้นหน้ากระดาน พอตกสาย ก็เริ่มแชดกันให้จุใจ คืนนี้เธอจะไปไหน ดูหนังกันมั้ย...บรา บรา บรา ฯลฯ
                บางคนจะเที่ยวที่ไหน  กินข้าวกลางวันกับอะไร เมื่อก่อนไม่ต้องสนใจ แต่เดี๋ยวนี้..ไม่ได้ครับ
                ต้องถ่ายทุกช๊อต ทุกซีน แล้วรีบส่งขึ้นเฟซ บุ๊คให้ผู้คนบนโลกได้ดู
                ผมเอง เกิดอาการหิวข้าว โดยไม่มีเหตุผล มาหลายครั้งแล้ว เวลาเปิดเฟซ บุ๊ค
                หรือถ้าหากว่า ใครเกลียดใคร อยากประณามใคร ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ตั้งหัวข้อขึ้นมาเชื่อว่าคนไทยเกินล้านคน เกลียด.....แค่นี้วัตถุประสงค์ก็บรรลุเป้าหมาย
                โลกบนเฟซ บุ๊ค เลยปะปนกันไปด้วยสิ่งดีและสิ่งที่อันตราย สำหรับผู้ที่ใช้ ดังนั้นควรต้องใช้สติ ใช้เหตุผล เพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่าให้โลกของเฟซ บุ๊ค เข้ามาทดแทนที่โลกในความเป็นจริงของตัวเอง
                สำหรับผม คงต้องขออนุญาต กราบลาเพื่อคลิกเข้าไปเลี้ยงหมูก่อนนะครับ..ไม่ได้เข้ามาหลายวัน หมูฉันจะตายไปกี่ตัว  ฮือ...ฮือ

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                 กุนซือ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตะลุยหมูกะทะ



ตะลุยหมูกะทะ
       ประมาณ 5-6 ปีก่อน เชียงใหม่เกือบจะกลายเป็นเมืองหมูกะทะขันรถไปทางไหนก็เจอะเจอแต่ป้ายบุฟเฟ่ต์ หมูกะทะเป็นทิวแถว แถมแต่ละร้านขายดิบ ขายดี ตกเย็นผู้คนไม่รู้มาจาก ไหน แยกย้ายนั่งโซ้ยหมูกะทะกันทั้งเมืองโดยเฉพาะน้องๆ ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่กลายเป็นลูกค้าหลัก เนื่องจากสาเหตุหลักคือสนนราคาถูก เหมาจ่ายทั้งมื้อไม่ถึงร้อย
          
น้องนักศึกษาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลังจากวางหมายกำหนดการว่า วันนี้มื้อเย็นจะฝากกระเพาะเอาไว้ที่หมูกะทะ เธอจะเริ่มอดข้าวตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป สะสมความหิวไปเรื่อยๆ จนถึงระดับ "กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่" แล้วถึงเดินหน้าเข้าหาเป้าหมาย
     การันตีได้เลยว่าบุฟเฟ่ต์หมูกะทะหัวละ 59 บาทในสมัยนั้น ซึ่งเป็นราคาในยุคเริ่มแรก  แต่คุณเธอฟาดไปไม่ต่ำกว่า 200 กินหนึ่งมื้อ แต่อิ่ม 3 วัน อะไรทำนองนั้น
          ผมเป็นคนกินน้อย เพราะพื้นที่กระเพาะแคบ เวลาไปกินหมูกะทะกับเพื่อนเมื่อไหร่ จะได้ยินเสียงบ่นตลอดว่า กินแบบมึงเนี่ย เสียดายตังค์
           กินสไตล์นี้เอาแมวมาดมยังดีกว่า ช่วงหลังๆ เลยต้องปรับตัว เวลากินหมูกะทะเมื่อไหร่
        จะใช้ขั้นตอนกินแบบเคี้ยวเอื้อง กินช้าๆ เรื่อยๆมาเรียงๆ
         สุดท้ายก็จะอิ่มพอกับเพื่อนร่วมโต๊ะ เรียกได้ว่ากินน้อย แต่ถึงเส้นชัยพร้อมกัน
        ครั้งหนึ่งไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆน้องๆ หลังจากเดินมาหลายกิโลฯตั้งแต่บ่ายยันเย็น  ก็เลยตัดสินใจว่าเย็นนี้รองท้องด้วยหมูกระทะ  พอถึงร้านเป้าหมายพร้อมกับเพื่อนหนึ่งคนกับรุ่นน้องอีก  3 หน่อ แต่รุ่นน้อง 2 คนหุ่นประมาณยักษ์วัดแจ้ง ซูโม่นับเป็นญาติ
           ชนิดที่เดินเข้าร้านปุ๊ป เจ้าของร้านควักยาดมมาสูดปั๊ป เพราะเดา ออกว่ากระเพาะเธอที่ฉันเห็น สงสัยหมูกะทะพร้อมกับเพื่อนพ้อง(ข้าว,ผัก,วุ้นเส้นฯลฯ) คงจะหายวับไปหลายถาด          สมศักดิ์ศรี "หุ่นนี้ได้มาไม่ใช่เพราะโชคช่วย"
         1 ชั่วโมงเต็มๆ กับภารกิจ "เดินหน้าฆ่าหมูกะทะ" ไม่มีการพูดคุย ทุกคนเหมือนเป็นเครื่องจักรตั้งเอาไว้อยู่ 3 โปรแกรม คีบ วาง โซ้ย และ คีบ วาง โซ้ย เจ้าของร้านเดินผ่านมา เห็นสภาพนักรบแต่ละคน กับปริมาณถาดเนื้อหมูที่วางระเกะระกระมองด้วยสายตาค้อนๆ แล้วเดินหายเข้าไปหลังร้าน
            หลายคนสงสัยว่าเดินเข้าไปทำไม สุดท้ายฟันธงว่าคงเดินเข้าไป "ทำใจ"
                    "ทำใจ" ไว้ว่าวันนี้ขายได้ "เท่าทุน" ถือว่า.....เก่ง

                                                                                                            กุนซือ