วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รักเอย 10/11/2550


                สมัยก่อนโลกโดนแบ่งออกเป็นสองข้าง  ข้างหนึ่งเป็นโลกของคอมมิวนิสต์ อีกซีกก็เป็นโลกของทุนนิยม  แต่พอรัสเซียพี่ใหญ่ สะดุดขาล้มโครมใหญ่  ระบอบคอมมิวนิสต์ถึงกาลล่มสลาย  โลกทั้งใบจึงพร้อมใจเปิดประตูอ้า รับทุนนิยม เข้ามาเป็นหัวใจของประเทศ
                แต่ละประเทศเปลี่ยนวิธีต่อสู้ จากเดิมที่ใช้ปลายกระบอกปืนมาห้ำหั่น  ก็หันมาใช้การค้า การลงทุนเป็นอาวุธในการยึดครองประเทศอื่น  เงิน ก็เลยเป็นปัจจัยหลักของมนุษย์ยุคปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
                ผู้คนสมัยนี้ ก็เลยตั้งโจทย์ไปในทางเดียวกันว่าเงินคือสิ่งที่ให้มีความสุข  เพราะเมื่อมีเงิน ชีวิตก็สุขสบาย สังคมก็ยอมรับมีคนเคารพ นับหน้าถือตา  หลายครอบครัวที่มีปัญหา  ก็เนื่องจากพ่อแม่มัวแต่ออกบ้านไปทำงานหาเงิน  แต่ลืมเอาใจใส่ลูก  เพราะเขียนใส่กระดาษแปะข้างฝาเอาไว้ว่า  เมื่อมี่เงิน  ความสุขก็จะไปไหลเข้ามา  จนบ้างครั้งลืมเรื่องจิตใจของคน
                ผมนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องสังคมไทย  ตั้งปุจฉาว่า  เวลาคนเราจะรักกัน  ฐานะทางสังคมมีผลต่อการตัดสินใจไหม  เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ ปลิวมาติดหน้าผาก  เพื่อนผมบอกว่ายุคนี้สมัยนี้  ฐานะทางสังคม การยอมรับของสังคมมีผลอย่างที่สุด  คนที่ฐานะสังคมต่างกัน ชั่วโมงนี้อยู่ด้วยกันลำบาก  เช่นสาวไฮโซ จะมารักกับหนุ่มขายกล้วยแขก  รักแค่ไหน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
                สังคมจะประณาม  หยามเหยียด
                เป็นได้อย่างเดียวคือเป็นเทพนิยายที่คนแต่งขึ้น  มาใช้ยุค 2550 บ่ได้ดอก
                จะรักให้ตาย  ถ้าแฟนฉันโลว์โปรไฟล์ คงทำใจลำบาก  พ่อแม่พี่น้อง ก็จะกีดกัน เพื่อนฝูงก็จะเบ้ปากเบือนหน้าหนี  เพราะฉะนั้นต้องหันไปจับคู่กับหนุ่มไฮโซหรือระดับใกล้เคียง  เพื่อจะได้มีที่ยืนในสังคมให้ได้
                ถือได้ว่าเป็นความรักในยุคทุนนิยม
                หนุ่มกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางอย่างผม ก็ตะโกนเถียงคอเป็นเอ็นว่า  ทำไมเวลาจะรักใครซักคน ต้องหาที่ยืนในสังคมมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจอันดับแรกหรือ  ขอเลื่อนเอาไปประกอบการตัดสินใจลำดับท้ายๆได้มั้ย 
                เงินและฐานะ  ก็เป็นสิ่งสำคัญ  แต่ถ้าเงยหน้าขึ้นไปมองจะเห็น ความรัก นิสัย  และความเข้าใจ ลอยอยู่เหนือหัว  คนเรามีเงินพันล้าน  ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด  แต่ชีวิตตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความสุข  แล้วจะขนขวายหามาเพื่ออะไร
                เพื่อนผมว่า  ผมจัดอยู่ในบุคคลประเภท เพื่อฝัน ดูหนังโรแมนติกมากเกินไป  ใครเขาจะมารักกันแล้วมานั่งกัดก้อนเกลือกิน อยู่อีก
                นี่คือกรณีศึกษาของวิธีคิดของคนไทยยุค 2007  ที่ค่อนข้างจะแตกแยกกันในรายละเอียดและมุมมอง  เพราะสภาพแวดล้อม  สังคมที่แตกต่างกัน  หล่อหลอมให้คนตั้งนิยามของตนเอาไว้ล่วงหน้า  ว่าจะเดินซ้ายหรือเลี้ยวขวา
                เพื่อนผมตั้งหน่วยความจำเอาไว้ในหัวว่า  ความรักก็สำคัญระดับหนึ่ง  แต่ต้องต่อคิวฐานะทางการสังคมและการเงิน  ถือว่าเป็น เป็นความรักในยุคทุนนิยมอย่างแท้จริง
                ส่วนผม เงินมาทีหลัง  ความรัก ความเข้าใจขอมาก่อนไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือ แฟน
                เพราะความรักของผมเป็นความรักแนวเศรษฐกิจพอเพียง
                แฮ่ม........แล้วคุณหล่ะ
                                                                                                                                กุนซือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น