วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

คำขวัญวันเด็ก 10-1-55




          ใกล้ถึงวันเด็กแห่งชาติ ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ วันนี้เลยขอคุยกันเรื่องเด็กๆกันบ้าง จำได้ว่าตั้งแต่เป็นเด็กประถม พอใกล้วันเด็กเมื่อไหร่ หัวใจมันพองตัว ตามประสาเด็กๆทั้งหลาย
        ที่ยืดอกประกาศว่าเป็น"วันของพวกเรา"
         พอถึงวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม เมื่อไหร่ แปลไทยได้ง่ายๆว่าเป็นวันยิ่งใหญ่ ของเด็กๆทั้งหลาย สามารถเรียกร้องพ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายให้"ตามใจเด็ก"ซักวันหนึ่ง
        มีทั้งวางแผนว่าจะไปโน่น ไปนี่ โดยเฉพาะสถานที่สำคัญต่างๆที่จัดกิจกรรมในวันเด็ก มีการละเล่น แจกของขวัญ สร้างความครื้นเครงเป็นประจำทุกปี
       แต่สิ่งหนึ่งที่ใกล้ถึงวันเด็ก ที่กลายเป็น"รูทีน"ของเด็กไทยทั้งหลายคือ...ต้องท่องคำขวัญวันเด็ก ประจำปีนั้นให้ได้ ถือว่าเป็นภารกิจหลักประจำปี
       คำขวัญวันเด็กส่วนใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีไทยมอบให้ มักจะเป็นคำขวัญประเภทสั้นๆ ได้ใจความ ครอบคลุมความหมาย แต่บางครั้งอ่านแล้วอาจจะไม่รู้เรื่องว่าสรุปแล้ว อยากให้เด็กไทยทำอะไร
       เพราะเหตุที่ว่าคำขวัญวันเด็กที่ผ่านมา ความหมายมักจะ"อะราวด์ เดอะ เวิร์ด" ความหมายออกซ้าย ไปขวาได้ตลอด
       สำหรับปีนี้ คำขวัญที่ท่านนายกฯปูมอบให้กับเด็กไทยคือ"สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี"
       แปลสั้นๆได้ว่า ต้องเป็น"คนดี ฉลาดและอย่าพลาด...อินเตอร์เน็ต"
       บรรดาค่ายมือถือทั้งหลาย อาจจะใช้คำขวัญของท่านนายกฯมาพลิกแพลงใช้ในการตลาดได้ว่า" เกิดเป็นเด็กไทย ต้องใช้เน็ตแพจเกจ..เหมาจ่าย"
       อย่าลืมว่าท่านนายกฯให้คำขวัญทิ้งท้ายว่าต้อง....ใส่ใจเทคโนโลยี!!
        ผมไปดู"เดี่ยว 9"ของคุณโน๊ส อุดม แต้พานิช  ช่วงหนึ่งโน๊ส ตั้งปุจฉาว่า ทำไม! ต้องมีคำขวัญวันเด็ก เพราะเชื่อว่าเด็กไทยทั้งหลาย ได้แค่ท่อง แล้วก้อลืมในเวลาอันรวดเร็ว
      ประมาณท่องคำขวัญเป็นนกแก้ว นกขุนทอง ช่วงวันเด็กเท่านั้น หลังจากนั้น ก็เข้าโหมด"ลืมสนิท ศิษย์ส่ายหน้า"
       หลังจากวันเด็กผ่านพ้นไปแล้ว ถ้าตั้งคำถามกับเด็กไทยว่า คำขวัญวันเด็กปีนี้ หรือลึกลงไปอีกหน่อยว่า คำขวัญวันเด็กปีที่แล้วบอกว่าอย่างไร
       อาจจะได้คำตอบตามยุคสมัย ในแนวเด็กแนวว่า"ต้องถาม....พี่กู"
       แฮ่ม....คุณพี่กูเกิล ครับ...อย่าคิดมาก ว่าเด็กหยาบคาย
      ผมเองแอบยกธงเชียร์คุณโน๊ส อุดม อยู่ลึกๆเพราะว่าแนวคิดคล้ายกัน การรณรงค์ให้เด็กไทยเป็นคนดี คนซื่อสัตย์ ใฝ่คุณธรรม ฯลฯ นั้น อย่าทำแต่เพียงคำขวัญในวันเด็ก เพราะเชื่อได้ว่า ไม่เกิดประโยชน์ใดๆกับเด็กไทยขึ้นมาเลย อยากให้เด็กไทยเป็นคนดี มีคุณภาพในอนาคต
      ต้องเริ่มสอนด้วยการกระทำครับ ไม่ใช่แค่ บอกๆๆๆๆ แล้วหวังว่าเด็กจะเจริญรอยตาม ยิ่งสมัยนี้ บรรดานักการเมืองซึ่งถือว่าผู้มีเกียรติในสภาทั้งหลายที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีกับเยาวชนไทย ดันทำตัวให้ผู้คนเบื่อหน่าย ทั้งทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งโกงกินกันแบบมูมมาม จนติดชาร์ทอันดับที่คนทั่วประเทศไม่ไว้ใจมากที่สุด
      ถ้าแม่ปูเดินเบี้ยว บรรดาลูกปูทั้งหลายก็ต้องเดินคดเคี้ยวเป็นธรรมดา
      สังคมไทยตอนนี้น่าเป็นห่วงครับ โดยเฉพาะผู้คนทั้งหลายที่ผลโพลล์ ออกมาแล้วต้องน่าตกใจในความคิดที่ว่า"ถ้านักการเมืองทำงานดี ถึงจะโกง ก็ไม่ว่าอะไร..."
    โอว..ประเทศไทย เศร้าหมอง!!
       ครั้งหนึ่งผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจชื่อดังของเชียงใหม่ พอวกมาคุยเรื่องการเมือง  เพื่อนผมให้ความเห็นว่า"แหม..ประเทศไทยมันโกงกันมาตั้งแต่นมนาน นักการเมืองมันก็โกงกันทุกคนแหละ ตอนนี้ขออย่างเดียวว่า ถ้าทำงานเก่ง โกงบ้าง ก็ไม่เป็นไร...รับได้!!"
      ผมถึงกับ อึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะความคิดแบบนี้กระจายไปทั่วประเทศไทยในตอนนี้แล้วครับ
     ประเทศไทยเคยได้ชื่อว่าจะเป็นเสือตัวใหม่ของเอเซีย แต่ทุกวันนี้กลายเป็นแมวเชื่องๆ ปัญหาหลักก็คือ
     ปัญหาคอร์รัปชั่น ไปทุกหย่อมหญ้านี่แหละครับ
      ถึงเวลาที่เราต้องเริ่มปฎิวัติ ความคิดของเด็กไทยทั้งหลายให้จงเกลียด จงชัง กับปัญหาคอร์รัปชั่นทั้งหลาย เพราะถ้าทำได้ ประเทศไทยอาจจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อเด็กเหล่านี้เติบใหญ่เป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า
      อย่าให้พวกเราต้องสอนลูกๆหลานๆทั้งหลายว่า...
        "ลูก ลูกจะโกงข้อสอบ อย่างไรก็ทำไปเถอะพ่อไม่ว่า ขออย่างเดียวลูกต้องได้เป็นที่หนึ่งของบรรดาเพื่อน  แค่นี้...พ่อก็ดีใจสุดๆแล้วแหละ.."
       เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้!!
                                                         กุนซือ

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

หวัดดีปีใหม่ 2-1-55

  

         ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่กับคุณๆทุกท่าน ถึงแม้ว่าจะช้าไปหน่อย เนื่องจากผมเข้าเวรเขียนคอลัมน์ในวันนี้ แต่ก็ขอให้ทุกท่านประสพกับความสุข ความสำเร็จตั้งแต่ต้นปีมะโรง หรือบางคนบอกว่า
เป็นปี"มังกรทอง" จะเรียกอย่างไรก็แล้วแต่อัธยาศัย
         ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ปีนี้ เชียงใหม่กลายเป็นสถานที่ยอดฮิต เพราะอิทธิพลของลมหนาวและ"เหมยขาบ" ที่เผยแพร่ออกตามสื่อต่างๆ จนทำให้เชียงใหม่ได้นิยามเหมือนกับกรุงโรมใน

อดีตกาล คือ"ถนนทุกสายมุ่งสู่เจียงใหม่....เจ้า"
       ช่วงส่งท้ายปี ซึ่งบรรดากระจอกข่าวอย่างพวกผม ไม่มีวันหยุด เพราะหนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ต้องวางแผงทุกวัน ดังนั้นรูปแบบการทำงาน การเดินทางต้องมีการปรับเปลี่ยนกันพอสมควร
      จากเดิมอยู่เชียงใหม่ ไม่ต้องวางแผนอะไรกันมากนัก อยากไปไหน ที่ใด ก็ตั้งเข็มทิศมุ่งหน้าตรงดิ่งไปทันที
         แต่ช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีต้อง...คิดใหม่ ทำใหม่
        ผมเริ่มวางแผนเส้นทางจากบ้าน มาออฟฟิต ขับอ้อมหน่อย แต่ไม่เจอกับปัญหารถติด เพราะโลกโชเชียล มีเดีย รายงานผ่านทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊คมาให้รับทราบตลอดว่า เชียงใหม่นาทีนั้น

        รถติดกันชนิดทุกหย่อมหญ้า!!
        เพื่อนผมหลายคนให้ความเห็นว่ารถยนต์ส่วนใหญ่ของประเทศคงมาอยู่ที่เชียงใหม่ เพราะเหลียวซ้าย มองขวา เจอแต่หลังคารถเต็มพรืดไปหมด
          บางคนถึงกับประชด ประชันว่า"ระวังจะโดนตุ๋นว่าคุณอยู่ที่เชียงใหม่ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ"
        อารมณ์ขันแบบไทยๆ ที่ใช้ได้ในสถานการณ์...หงุดหงิด
        วันส่งท้ายปี หลายปีที่ผ่านมา ผมใช้เวลานับถอยหลังขึ้นปีใหม่ ที่ร้านกู๊ดวิว ของ"เดอะ หมวด"ธนิต ชุมแสง  เพราะนอกจากบรรยากาศคึกคักทุกปีแล้ว ยังมีพลุในระดับ"อลังการ งานสร้าง"มาโชว์
ให้คนเชียงใหม่ได้ดูทุกปี มูลค่าในระดับ"ตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำ" จุดพลุสิบกว่านาที แต่ต้องควักเงินจ่ายไปหลายแสน
      ดังนั้นทุกปีผมจึง..พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
      แต่ปีนี้ข่าวคราวเรื่อง ผู้คนทั่วไทยต่างมุ่งตรงมาเชียงใหม่ ทำเอาผมเกิดอาการ"จิตวิตก" กับจำนวนประชากรในตัวเมืองเชียงใหม่
      เชื่อเถอะว่าหลายคนต้องคิดออกว่า ถ้าไปถึงร้านจะมีโต๊ะหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าหายากยิ่งกว่างมเข็ม ในมหาสมุทร เพราะเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อย่างนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่จับจองโต๊ะเอา
ไว้แล้ว
     ทุกรายก็ใช้นโยบาย"นั่งแช่" มาตั้งแต่ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้า แต่นั่งกันยาวๆไปจนทะลุเที่ยงคืน ดังนั้นการจะ"วอล์ค อิน" เดินลิ่วเข้าไปในร้าน แล้วภาวนาว่าจะมีแขกโต๊ะไหนเช็คบิล กลับบ้าน เป็นเรื่องที่ยากเกินแกง
       ถ้าจะออกแนว"ฝรั่งมังค่า" ยืนซื้อเบียร์จิบอยู่หน้าบาร์ ก็อาจจะไม่มีที่ยืนให้แทรกตัวเข้าไป เพราะใครๆก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
       ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ย่านสุดฮิตริมน้ำปิงแบบนี้ จะมีที่จอดรถเหลืออยู่หรือไม่ งานนี้หลับตาก็มองเห็นภาพบรรยากาศเหมือนลอยกระทง ผู้คนพลุกพล่าน รถติดในระดับ"มดเดิน" ขยับได้ทีละ
นิด ละหน่อย
      ผมเคยขับรถหลุดเข้าไปถนนเจริญราษฎร์ ช่วงลอยกระทง ติดแหง็กไม่ขยับเป็น ชั่วโมง ยังจำได้ทุกวันนี้ 
     ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น งานนี้คงไม่แตกต่างกัน
      ถ้าหลวมตัวเข้าไป ผมอาจจะต้องฉลองปีใหม่ในรถคนเดียวก็เป็นได้
     หลังจากบวก ลบ  คูณ หาร จนเสร็จสรรพ ก็ข้อสรุปว่า นอนดูทีวี ฉลองปีใหม่อยู่ที่บ้านเป็นดีที่สุด
     ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ที่ฉลองปีใหม่อยู่ที่บ้าน งานนี้ทำเอาบรรดาพี่น้องของผม ทำตาโตเท่าไข่ห่าน สะบัดหน้าไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง
     แต่อย่าลืมว่า ยุคนี้เริ่ม"เปลี๊ยนไป๊" ....ไม่เหมือนในอดีต
    สมัยก่อนกอดคอเพื่อน นับถอยหลัง 3..2..1 ชนแก้ว ร้องเพลงขึ้นปีใหม่  เฮฮาปาร์ตี้กันสุดชีวิต สุดฤทธิ์ สุดเดช
    แต่นาทีนี้ต้อง"อินเทรนด์" ถึงแม้ตัวไม่ได้ไป เจอยังงัยก็สวัสดีปีใหม่กันได้ผ่าน...ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค
    โหลดภาพชนแก้วเบียร์ พร้อมโพสสวัสดีปีใหม่ให้เพื่อนๆ  เท่านี้ก็ได้ส่งความรู้สึก ไปให้กับทุกคนเหมือนกัน แตกต่างกันนิดเดียวตรงที่...

    ปีนี้ ผมไม่เมา เท่านั้นเอง 555
                                                                กุนซือ