วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สุดยอด Gadget





หลายท่านอาจจะได้ยอินมาคำว่า แกดเจ็ท มานาน หลายคนอาจจะได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อง เราก็เริ่มได้ยินคำว่า Gadget มากขึ้นและบ่อยครั้ง
คำว่า Gadget  อธิบายได้สั้นๆคือ  เทคโนโลยีขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะเป็นโปรแกรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีใช้งานกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน ส่วนใหญ่จะเป็นด้านความบันเทิง หรือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย   ตัวอย่างเช่น ในหน้าจอของ Window Vista น้อง ๆ คงจะเคยเห็นนาฬิกา ปฏิทิน หรือโน้ต ที่ไว้แปะเตือนความจำบน Desktop  หรือแม้แต่ตุ๊กตาในรูปซึ่งเป็นหุ่นไดโนเสาร์ Pleo รองรับ SD Card เพื่อบันทึกเสียงได้    เหล่านี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ถูกเรียกว่า  Gadget
วานก่อนเปิดเคเบิ้ล ทีวี เจอรายการที่เขารวบรวมเอา gadget ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้จนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  ซึ่งอันดับต่างๆนั้นทางกลุ่มบรรณาธิการ และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงต่างๆ ได้มารวมตัวกันเพื่อจัดอันดับสิ่งประดิษฐ์ 101 ชิ้นที่ทรงอิทธิพลที่สุด และสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ได้มากที่สุดในช่วงเวลา 200 ปีที่ผ่านมา
เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังอันน่าทึ่งของสิ่งของเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งของใช้ที่ดูธรรมดาๆ ที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเครื่องจักรขนาดน้อยใหญ่ และอุปกรณ์สุดไฮเทคที่สร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งโลก
ดูไปก้อเพลินไป เพราะ gadget แต่ละอย่างที่เขชาไล่เรียงจากอันดับท้ายๆไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ นั้นถือว่าทำให้ชีวิตของผู้คนบนโลกเปลี่ยนไปแบบไม่เหมือนเดิมจริง พอเข้าใกล้อันดับที่ 1 ผมเองก็เริ่มมองเค้าออกว่า แกดเจ็ท อันไหน ที่จะครองแชมป์  การเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ สุดท้ายก็เป็นไปตามคาดครับ
แชมป์แกดเจ็ท ที่เปลี่ยนโลกใบนี้จนไม่เหมือนเดิมคือ  สมาร์ทโฟน นั่นเอง
ดูรายการเสร็จ แต่ความสงสัยยังไม่หมด ผมเลยไปค้นหาข้อมูลว่า แล้วณ.บัดนาว แกดเจ็ท ไหนที่ผู้คนอยากได้มากที่สุด
เขามีการสำรวจว่าศตวรรษที่ 21 ผู้คนบนโลกต่างเริ่มเป็นทาสของอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ ไม่ต้องดูที่ไหน เหลียวซ้ายมองขวาตอนนี้ รับรองว่าคุณๆจะเห็นผู้คนที่อยู่รอบตัว ก้มๆเงยๆ กดแป้นโทรศัพท์มือถือกันอย่างเมามัน แชดกันบ้าง เล่นเน็ตบ้าง อัพเดทสเตตัสในเฟสบุ๊ก ฯลฯ
วันไหนแบตฯมือถือหมด ชีวิตเดือดร้อนยิ่งกว่าไม่มีข้าวกินเสียอีก   บรรดาแต่นักวิเคราะห์ทั้งหลาย เขาก็เลยพร้อมใจก็พาจัดทำรายชื่ออุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ 10 อย่าง ที่แต่ละลำดับผ่านการลงความเห็นแล้วว่า มีความสำคัญที่สุดสำหรับโลกในศตวรรษนี้
อันดับ     1              ไอโฟน สมาร์ทโฟนในใจของคนเกือบทั้งโลก
อันดับ     2              ไอแพ็ด อุปกรณ์ประมวลผลส่วนบุคคลขนาดเล็ก
อันดับ     3              ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ ซอฟต์แวร์เปิดและฟรี
อันดับ     4              ไอพ็อด อุปกรณ์ที่เปลี่ยนโลก และทำให้แผ่นซีดีแทบจะสูญพันธุ์
อันดับ     5              คินเดิล ของอเมซอน สำหรับนักอ่านหนังสืออิเลกทรอนิกส์
อันดับ     6              ไดร์ฟยูเอสบี จดสิทธิบัตรไปเมื่อปี 2543
อันดับ     7              เครื่องเล่นเกมส์เอ็กซ์บอกซ์ และคิเน็กต์
อันดับ     8              แม็คบุ๊ค แอร์ แล็ปท็อบบางเฉียบ
อันดับ     9              เครื่องเล่นวีดิโอเกม วี
อันดับ     10            กล้องวีดิโอฟลิป แม้ปัจจุบันจะหายไปจากตลาดแล้ว แต่ช่วยปฎิวัติกล้องวีดิโอพกพา
ผมอ่านดูแล้ว ขอบอกว่าอาจจะไม่อัพเดท เท่าที่ควร อันดับ1 คือไอโฟน นะไม่มีใครเถียง แต่ผมว่าท๊อป 5  ณ.ช่วงเวลานี้น่าจะไม่ใช่ข้อมูลนี้เสียแล้ว กระซิบข้างหูว่า อย่าประมาท ซัมซุง เป็นอันขาด เพราะขาโจ๋และคนทำงานทั้งหลายลงความเห็นว่า....
เธอ..มาแรงเหลือเกิน
กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ไชน่าทาวน์










ชนชาติจีน ชาติที่ถือว่ามีประชากรมากที่สุดในโลก  โลกทั้งใบมีผู้คนอยู่ราวๆ 7 พันล้านคน เป็นประชากรจีนเสีย 1,353 ล้านคน ปัจจุบันประชากรจีนมีจำนวน 1 ใน 5 ของประชากรโลกเป็นผลจากนโยบายลูกคนเดียว หรือ  one-child policy ที่สามารถควบคุมอัตราการเพิ่มของประชากรจีนได้ถึง 400 ล้านคน ตลอด 30 กว่าปี เรียกว่าถ้าไม่มีนโยบายนี้ประชากรของจีนจะพุ่งไปแตะตัวเลขเท่าไหร่ ก็ยากจะเดา
เคยมีคนพูดว่า ถ้าคนจีนทั่วโลกพร้อมใจกระโดดหนึ่งครั้ง รับรองว่าเกิดแผ่นดินไหวแน่นอน
วกกลับมาที่เมืองไทย ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก  หลังจากอพยพเข้ามาตั้งรกรากในสยามเมืองยิ้มตั้งแต่สมัยสุโขทัย  ตอนนี้ชาวจีนมีลูกหลาน มีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เราๆท่านๆมักจะเรียกว่าคนไทยเชื้อสายจีน
ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทย และ เป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือ ชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 8 ล้านคนในประเทศไทย หรือ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
ชาวไทยเชื้อสายจีน ส่วนมากบรรพบุรษจะมาจาก จังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ
อีกอย่างหนึ่งคือภาษาไทย และภาษาจีนนั้นมีหลักภาษาที่คล้ายกัน จึงทำให้ผู้ที่อพยพเข้ามาเรียนรู้ภาษาไทยได้เร็วกว่าภาษาอื่นๆ ภาษาไทยก็มีคำภาษาจีนจำนวนมาก ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายจีนจะพูดภาษาไทยผสมภาษาจีนในการติดต่อกันเอง
        โดยเฉพาะชาวแต้จิ๋วที่อยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นส่วนมาก และก็จะใช้ภาษาไทยติดต่อกับสังคมภายนอกได้ดีขึ้น แต่ลูกหลานจีนในปัจจุบันมีน้อยมากที่ยังพูดภาษาจีนของบรรพบุรุษได้ เนื่องจากอยู่กับ

สังคมภายนอกและที่บ้านเองก็พูดภาษาจีนกับตนน้อยลง ยังคงเหลือแต่ผู้อาวุโสในครอบครัวเท่านั้นที่ยังพูดภาษาจีนกับลูกหลาน อย่างไรก็ตามประเพณีและค่านิยมบางอย่างที่ยังคงปฏิบัติได้ ครอบครัวลูกหลานจีนก็ยังยึดถือปฏิบัติอยู่
      เช่น การไหว้เจ้าในโอกาสต่างๆ ซึ่งถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ปัจจุบัน กระแสความนิยมภาษาจีนกลาง กำลังมีสูง เนื่องจากเป็นภาษาที่สำคัญในการติดต่อธุรกิจระหว่างไทย-จีน และสำหรับลูกหลานจีนที่เป็นวัยรุ่นก็ได้รับสื่อต่างๆ จากไต้หวัน มาก ทั้งละคร และเพลง ทำให้ในปัจจุบันมีโรงเรียนสอนภาษาจีนเปิดสอนอยู่มากขึ้นตามเพื่อสนองความต้องการ
ถ้าพูดถึงคนจีน ที่อพยพไปอยู่อาศัยตามประเทศต่างๆ ผู้คนก็มักจะนึกถึง"ไชน่าทาวน์"หรือย่านคนจีน ไชน่าทาวน์ของแต่ละประเทศนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดังแตกต่างกัน แต่ว่ากันว่าเมืองใหญ่เมืองใหญ่ถ้าไม่มีย่านไชน่าทาวน์ ถือว่าเป็นเมืองใหญ่แต่ไร้เสน่ห์
เว็บไซต์ Cnngo เขาไปสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วรายงาน 9 เมืองที่มีย่าน ไชน่าทาวน์ (China Town) ย่านที่มีคนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากที่ดีที่สุดในโลกมาให้เรารู้
โดย Cnngo ระบุว่า ไม่ว่าชาวจีนจะย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไหน ของประเทศใด ชาวจีนจะสร้าง 3 สิ่งต่อไปนี้ให้เกิดขึ้น นั่นก็คือ ประเพณีตรุษจีน, การค้าและแหล่งของกินอร่อยๆ ทั้งนี้ ย่านเยาวราช หรือไชน่าทาวน์ในกรุงเทพฯ ของไทยก็ติดอันดับด้วย
       Cnngo ระบุว่า ช่วงกลางคืนของเยาวราช นั้นคึกคักเหมือนกับเกาะฮ่องกงในช่วงปี 1960 ที่เต็มไปด้วยร้านค้าข้างทางจำนวนมาก ระยิบระยับด้วยแสงทองอร่ามจากร้านค้าทอง แต่แฝงไปด้วยเรื่อง

ราวด้านศาสนา ความเชื่อและวัฒนธรรม
ย่านเยาวราชเป็นเช่นนี้มานานกว่า 200ปี หลังจากที่ชุมชนชาวจีนย้ายจากบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบันไปตั้งรกราก ณ ยาวราชในปัจจุบันนี้ โดยมีสถานที่แนะนำ คือ วัดไตรมิตร และภัตตาคารยิ้มยิ้ม เจ้าของปัจจุบันเป็นทายาทชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋วรุ่นที่ 4 มีเมนูแนะนำคือ ก้ามปู, ซุปไก่, และคัสตาร์ดมันเทศ
  โดยเขาเรียงลำดับดังนี้
1. เมืองฮาวาน่า ประเทศคิวบา   2. เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย   3. ย่านเยาวราช กรุงเทพ ประเทศไทย   4. กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์  5. เมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟิกาใต้  6. เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย  7. เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา  8. รัฐซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา  9. กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของคนจีนในเมืองไทยว่า ไม่ธรรมดาจริงๆ  ททท.ไม่สนใจดึงเอาเยาวราชเป็นจุดขายแห่งใหม่บ้างเหรอ
กุนซือ

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"มึงไทยมาก"







"มึงไทยมาก"
                ช่วงนี้ในโลกโชเชียล เน็ตเวิร์ค ประโยคที่มีการพูดถึงมากที่สุดของไม่หนีประโยค"มึงไทยมาก" หลายคนอาจจะทำหน้าแมวสงสัยว่า ที่มา ที่ไปของประโยคนี้อุแว้มาจากแห่งหน ตำบลใด ก็ต้องขออธิบายให้เข้าใจว่าประโยคนี้กำลังเป็นประโยคที่คนฟิลิปปินส์เขาพูดกันเวลาจะกระแหนะ กระแหนใคร หรืออยากเสียดสีประชดประชันคนอื่น พอคนฟิลิปปินส์คนไหนโดนด่าว่า"มึงไทยมาก"ก็เหมือนกับไส้เดือนโดนขี้เถ้า ปวดแสบ ปวดร้อนไปตามๆกัน
                งานนี้คนไทยทั้งหลายโดนตบหน้าไปฉาดใหญ่
                เมื่อก่อนผมเองก็ชอบแซวคนฟิลิปปินส์เหมือนกันว่า ถ้าจับคนฟิลิปปินส์มา 10 คนยืนเรียงหน้ากระดาน รับรองว่า 9 คนเป็นนักดนตรี อีกคนเป็นแม่บ้าน
เคยอยากสะกิดเอวถามคนฟิลิปปินส์ว่าพอเกิดออกมาจากท้องแม่ปุ๊บ ไม่เคยร้องอุแว้ แต่ร้องเพลงได้เลย ใช่หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่จะมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงกันทั้งนั้น ไม่เชื่อลองดูตามสถานบันเทิงทั่วไทยมักมีนักดนตรีฟิลิปปินส์หอบเสื้อหอบผ้าเข้ามาขายเสียงกันเป็นทิวแถว
                วกกลับมาประโยคฮิต"มึงไทยมาก"กันต่อ เชื่อหรือไม่ว่าคนฟิลิปปินส์ยังให้นิยามว่าทำไมถึง ใช้ประโยคนี้เวลาด่าคนอื่นมีเหตุผลถึง 15 ข้อ แต่ผมขออนุญาตหยิบมาเพียงไม่กี่ข้อ เพราะไม่เช่นนั้นคุณๆอาจจะเกิดอาการอกแตกตาย อยากแปลงร่างเป็น บัวขาว ป.ประมุก ไปเดินเสาะหาคนฟิลิปปินส์มาสนทนากันสองต่อสอง
                เขาให้เหตุผล ที่ทำให้คนไทยห่วยแตกดังนี้ครับ ( ส่วนผมขอให้ความเห็นหลังเครื่องหมาย #)
                -คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ เรียกได้ว่าแย่มาก ๆ
             #งานนี้พี่ไทยอาจจะเถียงว่า ก้อกรูไม่เคยเป็นเมืองขึ้นอย่างเอ็งนี่หว่า..
                -คนไทยคิดว่าประเทศของตัวเองดีกว่าประเทศอื่น ๆ หรือ ดีที่สุดในโลก
              #แหม.ถ้าในอาเซียนก้อส่วนใหญ่อ่ะนะ
                คนไทยใช้ภาษาไทยในเว็บไซต์ระดับโลก เพราะพวกเขาโง่เกินกว่าจะเข้าใจ และไม่มีมารยาทด้วย
              #คืออยากเผยแพร่ภาษาไทยต้อนรับเขตการค้าเสรีอาเซียนอ่ะคับ
                -คนไทยเป็นทาสของ สตีฟ จ็อบส์ 
               #คงอิจฉาว่าเด็กมัธยมของไทยใช้ไอโฟนกันทั้งนั้น
                -ประเทศของเขาไม่พัฒนาไปไหน ใกล้จะเป็นเหมือนประเทศเกาหลีเหนือไปแล้วทุกที
               #แหม..แรงงส์
                -คนไทยใช้ซอฟท์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์
              #ที่ทำเพราะอยากเดินตามมหาอำนาจอย่างประเทศจีน ที่ก๊อปทุกอย่างแล้วผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ  ไม่เชื่อลองเอาเครื่องบินรบมะกันบินผ่านน่านน้ำจีนดิ ไม่เกิน2เดือน จีนก๊อปเครื่องบินออกมาใช้หน้าตาเหมือนกันเด๊ะ
                -คนไทยเกลียดประชาธิปไตย และแม้แต่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มีประชาธิปไตยเลย
                #มาเมืองไทยเมื่อไหร่ ต้องพาไปดู อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
                -พวกเขายังยึดถือระบบเจ้าขุนมูลนาย
              #ไม่มีอย่างอิจฉา โถ....
                -คนไทยดูแคลนประเทศอื่นในอาเซียน โดยเฉพาะ ลาว และ กัมพูชา พวกเขาคิดว่าประเทศตัวเองดีกว่าประเทศอื่น แต่มันไม่ใช่เลย
               #อ่ะ...เรื่องนี้ไม่ว่ากัน มันเป็นเรื่องเล่าขานมานานแล้ว
                -คนไทยมองว่า ความเชื่อเป็นเรื่องใหญ่กว่าเหตุผล
              # แสดงว่าไม่เคยขูดจอมปลวกแล้วถูกหวยรางวัลที่ 1
                -คนไทยทำลายล้างพระพุทธศาสนา 
             # แหม..แค่พระบางองค์ อย่าเหมารวม
                -คนไทยยังคงหลอกตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ประเทศของเขาเป็นตลาดค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับไม่ยอมรับ
            # แหม...ตะเองที่ไหนก้อมี แต่เวลายอมรับแค่ทำเสียงอุบอิบ!
                -ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นทีมที่ห่วยแตกมาก
           #แชมป์ซีเกมส์ 9 สมัยนะ เว้ย เฮ้ยยย! กำลังสานฝันโครงการ"มวยไทยไปบอลโลก"อยู่อย่างขะมักเขม้น
                มีคนกระซิบบอกผมว่า งานนี้ฟิลิปปินส์เริ่ม แต่เสียงเฮไปดังที่ประเทศลาว เพราะเหมือนกันปลดเปลื้องปมด้อยของคนในชาติ หลังจากถูกพี่ไทยเสียดสีมานานหลายทศวรรษ ใครทำอะไรบ้านนอกคอกนา หรือไม่เข้าท่า เข้าทาง พี่ไทยชี้หน้าด่า"ลาว"กันมานมนาน งานนี้โดนบ้างจะได้รู้สำนึกว่า ความรู้สึกมันเป็นเช่นไร
                ผมเองเป็นคนเหนือโดยกำเนิด ตอนเด็กๆเวลาเข้ากรุงเทพ ก็ต้องไปอยู่หอเพื่อน รู้จักสรรพนามประจำท้องถิ่นเป็นอย่างดี ถ้ามาจากอีสาน ทุกท่านเป็น"ลาว"  ถ้ามาจากเหนือ อู้ได้อย่างเดียวคือ"แม้ว"   ส่วนคนสุพรรณเรียกไอ้เหน่อ ถ้าเผลอมาจากทางใต้ เรียกง่ายๆ..คุณทองแดง
พอมาช๊อตนี้ โดนกันทั้งประเทศ ก็เลยต้องเงียบ แบ่งแยกกันไม่ได้อีกต่อไป (ฮา)  ถ้าเป็นภาษาขาโจ๋ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่า
                "แบบทรนงไง  ไม่เคยโดนงัย พอโดนเข้าไป..เจ็บป่ะ?"
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  กุนซือ
                                                                                                                                                                                                                                                                                                           p_kiti@hotmail.com

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วีเซนเต้







คืนวันจันทร์ที่ผ่านมา โลกโชเชียล เน็ตเวิร์คคึกคักกันเป็นแถว โดยเฉพาะสังคมทวิตเตอร์ เพราะมีรายงานเกี่ยวกับพายุใต้ฝุ่น"วีเซนเต้" ที่กระหน่ำเข้าเกาะฮ่องกง หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมพายุใต้ฝุ่นเข้ที่ฮ่องกง แต่คนไทยสนใจกันจัง
สาเหตุมีหลายประการครับ ประการแรกเพราะช่วงนี้ทักษิณ นายใหญ่แห่งค่ายเพื่อไทยไปปักหลักอยู่ที่นั่น  เพื่อเตรียมฉลองวันเกิดในวันที่ 26 ก.ค นี้ แถมบรรดาส.ส ทั้งหลายรวมถึงแกนนำเสื้อแดงต่างๆ ต่างพาเหรดไปฮ่องกงกันเป็นทิวแถว พอพายุใต้ฝุ่นวีเซนเต้ พัดโครมเข้าเกาะฮ่องกง แถมยังมีความรุนแรงในระดับ 10  เทียบเท่ากับเฮอร์ริเคนระดับ 4 ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบหลายสิบปี 
        ทำให้หลายคน รวมทั้งบรรดากระจอกข่าวทั้งหลายต้องตามข่าวกันให้วุ่น กลัวคนที่แห่แหนไปพบนายใหญ่จะถูกพายุพัดตกทะเลไป
แถมยังมีประเด็นให้มาคุยต่อในโลกทวิตเตอร์อีกประเด็นหนึ่ง เมื่อสำนักข่าวฮ่องกง ดันออกข่าวว่าพายุวีเซนเต้เป็นพายุไซโคลนบ้าง พายุเฮอร์ริเคนบ้าง ทำให้หลายคนเกิดอาการ ง.งู สองตัววิ่งเข้าชนกัน งงกันเป็นแถบว่าตกลงจะให้เรียกว่าพายุอะไร 
สำนักข่าวไทยบางสำนัก ก็พาซื่อเหลือหลาย ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเรียก"วีเซนเต้"ว่าเป็นพายุใต้ฝุ่น แต่ลอกข่าวแปลมาอย่างผิดๆ ถึงแม้จะมีคนทักท้วง แต่ก็อ้างว่าต้องเสนอข่าวตามฮ่องกง ผมอ่านแล้วก็งง สำหรับคำแก้ตัว
หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพายุนี้เป็นพายุใต้ฝุ่น อันไหนเป็นไซโคลน แบบไหนเป็นเฮอร์ริเคน
โลกนี้เขาถือกติกาเดียวกันว่า การเรียกชื่อพายุว่าเป็นประเภทไหนนั้น เขาให้เรียกตามพิกัดที่เกิดพายุนั้นๆครับ
ถ้าพายุพบแถบมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก ทางตะวันตกของลองจิจูด 170 องศา เรียกว่า "ไต้ฝุ่น" เกิดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม
แต่ถ้าย้ายมาแถวมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือแถวทะเลแคริบเบียนและอ่าวเม็กซิโก เรียกว่า "เฮอร์ริเคน" เกิดมากในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม  รวมถึงมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ฝั่งตะวันตกของประเทศเม็กซิโก เรียกว่า "เฮอร์ริเคน"เหมือนกัน
พายุแถวบริเวณมหาสมุทรอินเดียเหนือ อินเดียใต้ อ่าวเบงกอล รวมไปถึงทะเลอาหรับทั้งหลาย เรียกว่า "ไซโคลน"
แต่ถ้ามุดลงไปทางใต้ ทางมหาสมุทรอินเดียใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า "วิลลี-วิลลี"
บางคนอาจจะสงสัยต่อว่าแล้วบรรดาชื่อพายุ เอามาจากไหน
เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อพ.ศ. 2543  มีการจับมือของประเทศและดินแดนต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 14 แห่งที่เป็นสมาชิกของคณะกรรมการพายุไต้ฝุ่นขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organizations Typhoon  Committee) ลุกขึ้นมาจัดระบบการตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อนในแถบนี้ใหม่  โดยแต่ละประเทศ (หรือดินแดน) ได้ส่งชื่อพายุในภาษาของตนมาให้ประเทศละ 10 ชื่อ รวมทั้งสิ้นได้ 140 ชื่อ 
กำหนดให้ใช้ภาษาท้องถิ่นในแต่ละประเทศในการตั้งชื่อพายุ   ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม  
สำหรับ ชื่อพายุจะแบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 28 ชื่อ  เรียงตามชื่อประเทศของลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ เริ่มจากกัมพูชา เรื่อยไปจนถึงเวียดนามซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย โดยไทยเราอยู่อันดับที่ 12 เมื่อใช้หมด 1 กลุ่มก็จะขึ้นชื่อแรกในกลุ่มที่ 2 เรียงกันเรื่อยไปจนครบทุกกลุ่ม แล้วจึงกลับมาใช้ชื่อแรกของกลุ่มที่ 1 ใหม่อีกครั้ง
สำหรับชื่อที่พี่ไทยส่งเข้าประกวดได้แก่  พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา มรกต นิดา ชบา กุหลาบและขนุน
ส่วนคุณพี่วีเซนเต้ ที่กำลังแผลงฤทธิ์อยู่นี้พญาอินทรี เป็นผู้ตั้ง มีความหมายคือเป็นชื่อผู้ชายในภาษาชามอร์โร (ภาษาพื้นเมืองเกาะกวมและหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา)
ตบท้ายด้วยเกร็ดเบาๆที่ว่า เชื่อหรือไม่ ครับว่าอุตุนิยมวิทยาโลก ก็ถือเรื่องโชค เรื่องดวงเหมือนกับพี่ไทยเหมือนกัน เพราะเขามีกฏแนบท้ายเกี่ยวกับพายุว่าสำหรับชื่อพายุลูกใดที่มีความรุนแรงมากจนสร้างความเสียหายในบริเวณกว้างจะถูกยกเลิกไป และตั้งชื่อใหม่เข้ามาแทน
เห็นมั้ย..ไม่ว่าที่ไหน ไสยศาสตร์...มีจริง
กุนซือ
P_kiti@hotmail.com



วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตะลุย.."มาเก๊า" พ.ค 2555







เกาะปีกแอร์เอเชีย...

ตะลุย”มาเก๊า”



                วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แอร์เอเซียเขาได้เวลาดีเดย์เปิดไฟล์ทบินเที่ยวแรกที่บินจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังมาเก๊า ดินแดนที่เลื่องชื่อเรื่องเสี่ยงโชค งานนี้เขาส่งเทียบเชิญมาให้ผม เลยได้รับอานิสงส์บินตรงไปเมืองคาสิโนในฐานะผู้โดยสารชุดแรก สำหรับคนเหนือที่อยากไปเที่ยวมาเก๊าหรือฮ่องกง จากนี้ไปคงสะดวกสบายมากขึ้นเพราะไม่ต้องเดินทางไปนับหนึ่งที่กรุงเทพอีกต่อไป เริ่มต้นสตาร์ทที่เชียงใหม่ก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน


                แอร์เอเชียบินไปมาเก๊าวันละ 1 เที่ยวบิน เครื่องเริ่มเทค-ออฟ จากสนามบินเชียงใหม่เวลา 16.15 น.ใช้เวลาบินประมาณ สองชั่วโมงสี่สิบนาทีก็ แลนดิ้งลงสนามบินมาเก๊า ส่วนคนที่อยาก “ทูอินวัน”อยากเที่ยวทั้งมาเก๊าและฮ่องกง ก็ไม่ยุ่งยากเพราะมาเก๊ากับฮ่องกงนั้นระยะห่างกัน 50 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น สามารถซื้อตั๋วเรือนั่งเรือข้ามไปแบบสบาย ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่าเกาะฮ่องกง


                หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าจะมาเที่ยวมาเก๊าและฮ่องกง ควรจะเลือกแลกเงินสกุลไหนมาใช้ ต้องเล่าขานว่าเงินสกุลของฮ่องกงนั้นคือฮ่องกงดอลล่าร์ ส่วนมาเก๊านั้นใช้เงินสกุลปาคากาส์  โดยอัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลนั้นใกล้เคียงกันครับ  หนึ่งเหรียญฮ่องกงก็แลกได้หนึ่งปาคากาส์  สำหรับนักเที่ยวชาวไทยทั้งหลายขอแนะนำให้แลกเป็นดอลล่าร์ฮ่องกงครับ เพราะสามารถใช้ได้ได้ที่มาเก๊าและฮ่องกง คนมาเก๊าเองก็ดูแฮปปิ้เวลาเราจ่ายเป็นเงินฮ่องกง แต่ในขณะเดียวกันเงินปาคากาส์ของมาเก๊า ไม่สามารถนำไปใช้ในฮ่องกงได้  แต่ไม่ต้องห่วงถ้าคุณอยู่ในมาเก๊าถ้าซื้อของ แม้แต่ร้านขายของชำ ถ้าจ่ายเงินเป็นเงินฮ่องกงเค้าก็จะทอนเป็นเงินฮ่องกงได้ครับ
                มาเก๊า นั้นตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง มีเนื้อที่ทั้งหมดแค่ 29.2 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าอำเภอเมือง ของเชียงใหม่ถึง 5 เท่า  ประชากรก็มีแค่ 550,000 คน ในขณะที่เชียงใหม่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 1,646,144 คน เกาะมาเก๊าประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊าที่ติดอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่ ,เกาะไทปา,เกาะโคโลอาน และเกาะโคไท การเดินทางระหว่างเกาะต่างๆจะเชื่อมด้วยสะพานเป็นหลัก 
                ตอนนี้รัฐบาลจีนมีโครงการอภิมหาโครงการยักษ์ คือกำลังจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฮ่องกงกับมาเก๊า โดยสะพานวิ่งผ่านทะเลจากทั้งสองเกาะ ความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร แถมสะพานที่ใกล้ๆจะถึงมาเก๊าจะมีช่องทางแยกเข้าเมืองจูไห่ ของเมืองจีน คาดการณ์ว่าประมาณปี 2016 นักท่องเที่ยวทั้งหลายอาจจะมีทางเลือกโดยการนั่งรถข้ามไปยังเกาะฮ่องกงแทนการนั่งเรือเฟอรรี่ เหมือนในอดีต


                วันแรกของคณะทัวร์สื่อมวลชนเริ่มต้นที่วัดอาม่า วัดที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดของเกาะมาเก๊า  ตามตำนานเล่าว่า”อาม่า”มีพระนามเดิมว่า”หลิงม่า”หญิงสาวชาวฟูเจี้ยน ที่วันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขา วจึงขอโดยสารมากับเรือประมงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นเรือลำเล็กๆที่ยอมให้เธอโดยสารข้ามฟาก ในขณะที่เรือลำอื่นๆปฏิเสธ ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเล เกิดพายุพัดขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง แต่เกิดปาฏิหาริย์เรือที่เธอนั่งมาด้วยเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ทันทีหลิงม่า ก้าวขึ้นฝั่ง เธอก็ลอยขึ้นฟ้าแล้วลอยลับหายไป ชาวประมงจึงเชื่อว่าเธอคือเทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นมาดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า”อ่าวของอาม่า”หรือ”อา-หม่า-เกา” ต่อมาก็พูดเสียงเพี้ยนกันกลายเป็น”มาเก๊า”ในปัจจุบัน


                คนไทยที่มานมัสการ”อาม่า”ที่วัดค่อนข้างเยอะครับ เดินกันแบบไหล่ชนไหล่กันเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะมาขอพร และโชคลาภ ก็ของแน่อย่างหนึ่งคือมาเก๊าได้ชื่อว่าเป็นลาสเวกัสแห่งเอเซีย แดนแห่งการพนันแห่งนี้ ผู้คนที่เดินทางมาเสี่ยงโชค ก็ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่นเพื่อขอให้ตัวเองโชคดีกันเป็นแถว
                สำหรับคนที่เชื่อเรืองโชค เรื่องดวง เขาบอกว่าเวลาเดินผ่านประตูวัดในแต่ละชั้น ถ้าเป็นผู้ชายให้ก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน ส่วนผู้หญิงก็ให้ก้าวเท้าขวา เพราเชื่อว่าเป็นการเดินขึ้นส่สวรรค์
                ข้อดีอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือ ทางรัฐบาลของมาเก๊า เค้าจะให้บริการอินเตอร์เน็ต wi-fi ฟรีตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ โดยใช้ชื่อว่า” wi-fi  go” คงเข้าใจว่าโลกของคนยุคใหม่ต้องอัพโหลดรูปภาพ ข้อมูล ข่าวสารให้ทันใจ มาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแล้วก็ยืมดาบบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายนี่แหละครับ ที่ชอบถ่ายรูป ถ่ายวิว แล้วโพสตาม โชเชียล มีเดีย ทั้งหลายเป็นตัวช่วยเผยแพร่การท่องเที่ยวของมาเก๊าแบบง่ายๆ
                เรื่องนี้ผมว่า ททท.เมืองไทยน่าจะเดินตาม เพราะเท่าที่สอบถามบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างถูกอก ถูกใจกันเป็นทิวแถว ใช้เงินไม่มากแต่ผลลัพท์คุ้มค่าครับ


                แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของมาเก๊าคือ”มาเก๊าทาวเวอร์” ซึ่งเป็นหอคอยที่มีความสูงเป็นอันดับ 8 ของเอเซียและสูงเป็นอันดับ 10 ของโลกมีความสูงทั้งสิ้น 338 เมตรเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2001โดยข้างในมีทั้งศูนย์การค้า ห้องจัดประชุม ภัตตาคาร โรงภาพยนตร์ฯลฯ สำหรับคนที่ชอบกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีน เขาก็มีกิจกรรมให้ท้าทายไม่ว่าจะเป็นการเดินชมวิวภายนอกทาวเวอร์ที่มีความสูง 233 เมตร หรือจะกระโดดบันจี้ จัมพ์ ก็เลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย
                มาถึงย่านช๊อปปิ้งชื่อดังที่สุดของมาเก๊า ที่นักเที่ยวหญิงของไทยร่ำร้องอยากมาที่สุดคือ”เซนาโด สแควร์”




                “เซนาโด สแควร์”นั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ในบริเวณนี้จะมีตึกที่ถูกสร้างตามสไตล์ยุโรป สวยงามมาก พื้นปูด้วยกระเบื้องลวดลายขาวสลับดำเป็นรูปคลื่น รอบๆบริเวณนี้จะมีร้านาแบรนด์เนมให้เลือกซื้อสินค้ากันอย่างมากมาย โดยแต่ละร้านตกแต่งอย่างสวยงามล่อใจขาช๊อปปิ้งทั้งหลายให้เข้าไปเลือกชม


                “เซนาโด สแควร์”และพื้นที่ใกล้เคียงนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง และหลายแห่งก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว แต่สถานที่คนไทยคุ้นตามากที่สุดก็คือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ที่ใครมามาเก๊าก็ต้องมาแอ๊คชั่นถ่ายรูปตรงนี้ ไม่งั้นถือว่ายังมาไม่ถึงมาเก๊า


                ถ้ามาถ่ายรูปที่ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแล้ว พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือต้อง หาซื้อ”ทาร์ไข่”ซึ่งเป็นขนมชื่อดังของมาเกามาลิ้มชิมรส ร้านดังต้นตำรับก็ตั้งอยู่แถวบันไดทางขึ้นโบสถ์เซนต์ปอล นั้นแหละครับ แถมยังมีหมูแผ่นให้ซื้อติดไม้ติดมือมาฝากคนทางบ้านได้อีกต่างหาก แต่ไกด์ของคณะแอบแนะนำว่า ลองซื้อปลาเค็มกับกะปิ ของมาเก๊ากลับไปฝากเพื่อนฝูง รับรองว่าอร่อยแบบไม่รู้ลืม เพราะวัสดุทำมาอย่างดี อร่อยนักอร่อยหนา เป็นที่เลื่องลือของนักท่องเที่ยวในช่วงหลังที่เริ่มหันซื้อปลาเค็มกับกะปิ กลับเมืองไทยกันมากขึ้นเรื่อยๆ


                การเดินทางในมาเก๊าค่อนข้างสะดวกครับ เนื่องจากรถราไม่ติดเหมือนกับบ้านเรา เชื่อมั้ยครับถ้าถนนเส้นไหนรถติดเกินห้านาที คนมาเก๊าจะเริ่มโวยวายแล้ว เพราะถือว่ารถติดนานเกินไป สาเหตุหนึ่งคือการซื้อรถส่วนบุคคลใช้ที่มาเก๋าค่อนข้างจะลำบากซักหน่อย รถคันหนึ่งราคาก็ไม่สูงมากนัก แต่ที่เหนื่อยที่สุดคือกฎหมายกำหนดว่าก่อนซื้อรถทุกครั้ง คุณต้องไปหาที่จอดรถให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าจะซื้อรถยี่ห้ออะไร เนื่องจากพื้นที่มีน้อย ดังนั้นที่จอดรถราคาก็แพงเหมือนทองคำ ที่จอดรถคันหนึ่งราคาประมาณล้านกว่าบาท ดังนั้นคนที่จะมีรถขับได้ในมาเก๊าก็ต้องถือว่ามีสตุ้งสตางค์พอสมควร บางส่วนก็หันไปใช้มอเตอร์ไซต์ สนนราคาคันหนึ่งก็ราคาไม่ใช่น้อยอยู่ในระดับคันละแสนกว่าบาท


                แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆท่านๆ  สามารถใช้รถของบรรดาคาสิโนทั้งหลายที่วิ่งให้บริการฟรีระหว่างคาสิโนต่างๆครับ เป็น”ชาร์เตอร์ บัส”แต่ต้องศึกษาหน่อยว่าจะเดินทางไปไหน แล้วอยู่ใกล้คาสิโนที่ใด ก็สามารถเลือกนั่งได้ตามชอบใจ ไม่ต้องเสียตังค์ โดยรถชาร์เตอร์ บัส ที่วิ่งระหว่างคาสิโนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันใช้เวลารอประมาณ 10-20 นาที
                สมัยก่อนเวลาคนมาเที่ยวมาเก๊า เป้าหมายหลักคือต้องไปสัมผัส”เซนาโด สแควร์”เพราะได้ทั้งช๊อปปิ้งและเที่ยวชมมรดกโลก แต่ตอนนี้ค่านิยมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามายังมาเก๊า ต่างตั้งเข็มทิศมุ่งไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ว่ากันว่า..พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


                “คาสิโน เดอะ เวเนเชี่ยน (the vanetine  macau resort)” บ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
                “เวเนเชี่ยน” นั้นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถือเป็นเอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ที่เร้าใจที่สุดในเอเชีย มีห้องพักสวีตรวมกันถึง 3,000 ห้องแต่ละห้องมีเนื้อที่กว้าง 70 ตารางเมตร ราคาห้องเฉลี่ยแล้วประมาณคืนละหกพันกว่าบาท
                ในส่วนของคาสิโนนั้น “เวเนเชี่ยน”ถือว่ามีคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีตู้สล๊อตแมชชีน หรือที่คนไทยมักเรียกว่า”โจรแขนเดียว”ถึง 1 พันตู้ และโต๊ะเล่นพนันมากกว่า 600 โต๊ะ เปิดบริการให้นักเสี่ยงโชคตลอด 24 ชั่วโมง

                ในส่วนของคาสิโนนั้นเป็นห้องโถงโปร่งสูง 2 ชั้น ใหญ่โต โอ่โถง ดังนั้นจากชั้นหนึ่งก็ข้ามไปเป็นชั้นสามโดยไม่มีชั้นสอง ใช้บันไดเลื่อนเป็นตัวรับส่งผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ในส่วนชั้นสามนั้นจะเป็นส่วนของ The Grand Canal  ซึ่งจะเป็นส่วนของร้านค้า แบรนด์ชั้นนำให้ช๊อปปิ้งกว่า 350 ร้าน


                และชั้นนี้เองที่ขึ้นชื่อคือเขาจำลองเมืองเวนืช ของอิตาลีมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เวลาเดินเล่นในชั้นนี้อาจจะหลงเคลิ้มว่ากำลังท่องไปในแดนมักโรนี  แถมยังสร้างคลองขึ้น ส่วนเพดานก็ออกแบบเหมือนท้องฟ้าจำลอง เวลาเราเดินไปเรื่อยๆจะเหมือนกับเมฆเคลื่อนที่ได้ ทำให้คนที่อยู่ใน“เวเนเชี่ยน” รู้สึกว่าบรรยากาศน่าเดิน และสัมผัสธรรมชาติที่ดูเหมือนเสมือนจริง


                นอกจากนั้น “เวเนเชี่ยน” ยังได้สร้างคลองจำลองขึ้นมาในชั้นนี้ด้วย เพื่อที่จะเปิดให้บริการพายเรือกอนโดล่า ที่จะพาผู้นั่งเรือล่องในลำนำชมรอบๆเมืองเวนิชจำลองแห่งนี้ พร้อมทั้งสัมผัสกับเสียงขับกล่อมด้วยเสียงเพลงจากฝีพายระดับนักร้องโอเปร่า สมัยแรกๆเขานำฝีพายกอนโดล่าที่มีชื่อเสียงจากเมืองเวนิช สั่งนำเข้ามาขับขานและพายเรือบริการให้กับนักท่องเที่ยว  แต่ตอนนี้ฝีพายทั้งหลายเริ่มแปลงร่างกลายเป็นคนฟิลิปปินส์ซะส่วนใหญ่ เพราะถ้าพูดถึงพรสวรรค์สำหรับเรื่องร้องรำ ทำเพลง ชาวตากาล๊อก ไม่เคยเป็นสองรองใครเหมือนกัน แถมค่าตัวยังถูกกว่าต้นตำรับอีกอักโข


สำหรับสนนราคาถ้าอยากนั่งเรือกอนโดล่าดูซักครั้ง ผู้ใหญ่ประมาณ 500 บาท ส่วนเด็กราคา 370 บาท ใช้เวลาล่องประมาณสิบนาที ก็ถือว่าถ้ามา“เวเนเชี่ยน”แล้ว ก็ต้องลองลงเรือนั่งดู เผื่อจะไปคุยโม้ได้เต็มปากว่าฉันมาถึงแล้วจริงๆ
ตอนนี้มาเก๊ากำลังสร้างเมืองใหม่ เพิ่มเติมขึ้นอีก โดยเมืองใหม่แห่งนี้จะเน้นเป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาเพราะว่าอยากจะแยกบรรดาเยาวชนทั้งหลายให้ห่างๆจากบรรดาคาสิโน เลยไปสร้างเมืองมหาวิทยาลัยแยกออกไปอีกต่างหาก เยาวชนทั้งหลายจะได้ไม่ต้องหลงเสียง สี เสียง คาดว่าไม่นานเมืองนี้คงจะอวดโฉมเป็นหน้าเป็นตาให้กับมาเก๊าอีกครั้ง เพราะพูดเรื่องการก่อสร้างแล้วต้องยกนิ้วซูฮกให้กับเมืองจีนครับ เขาสร้างกันรวดเร็วจนเหลือเชื่อ
ตอนที่โครงการ“เวเนเชี่ยน”คลอดออกมา มีเป้าหลักว่าจะต้องสร้างเสร็จภายในสองปี วิศวกร สถาปนิคทั่วโลกต่างประสานเสียงว่า ด้วยความใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างเสร็จได้ สำนักข่าวรวมถึงค่ายของสารคดีชื่อดังของโลกต่างพากันมาเกาะติดตั้งแต่เริ่มขุด วางเสาเข็ม สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าโครงการที่ว่ากันว่าไม่มีทางทำสำเร็จได้ในเวลาสองปี สามารถเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่เบื้องหลังนั้นก็สร้างกันจนถึงวินาทีสุดท้าย ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนงานเปิดตัวเพียงไม่กี่นาที ถือเป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
มีคนบอกว่าถ้าเมืองจีนเป็นพี่ใหญ่ มีน้องอยู่ 3 คน มาเก๊าเป็นน้องคนเล็กที่กระโดดเข้ามาซบอกพี่ใหญ่อย่างจีนก่อนใครเพื่อน  ต่อมาน้องกลางอย่างฮ่องกง ค่อยๆเขยิบเข้ามาญาติดีกับพี่คนโตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ขณะที่น้องรองอย่างใต้หวัน ยังกระฟัดกระเฟียดทะเลาะกับพี่ใหญ่ไม่ยอมเลิก
แต่เมื่อตอนนี้พี่ใหญ่ นั้นกลายเป็นพี่เบิ้มของโลก คนจีนสมัยนี้เป็น”เศรษฐีใหม่”กันถ้วนหน้า เงินทองใช้จ่ายกันอย่างสะพัด น้องเล็กที่มาเก๊าที่พี่ใหญ่เอ็นดูมาโดยตลอดก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ว่ากันว่าเป้าหมายข้างหน้ามาเก๊าไม่ได้หวังอะไรมากมายขอแค่.....
ผลักอก”ลาสเวกัส”ให้ถอยออกไป แล้วหยิบชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของการพนันมาไว้ในแผ่นดิน....เท่านั้นเอง!

                                                                                                                                กุนซือ
               

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักข่าวออนไลน์-ครบรอบเชียงใหม่นิวส์ 2555









                ถ้านักข่าวรุ่นใหม่ๆสามารถย้อนเวลากลับไปซักประมาณ 20 ปี หลายคนอาจจะตกใจว่าการทำงานของนักข่าวนั้นเปลี่ยนโฉมชนิด”ตุ๊กกี้เปลี่ยนมาเป็นญาญ่า”เลยทีเดียว สมัยก่อนเครื่องไม้ เครื่องมือไม่ไฮเทค มีตัวช่วยมากมายเหมือนสมัยนี้
                นักข่าวต้องหิ้วกล้องอันเบ้อเริ่มเทิ่มแบกออกไปทำข่าว ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องบึ่งรถกลับมาร้านถ่ายรูปเพื่อตัดฟิลม์ ล้าง อัด ได้รูปแล้วก็บึ่งมาส่งต้นฉบับที่กอง บ.ก กว่าจะทำข่าวเสร็จชิ้นหนึ่งค่อนข้าวจะลำบากลำบนพอสมควร
                แถมเมื่อก่อน คอมพิวเตอร์ยังไม่อุแว้ออกมาดูโลก เครื่องมือหากินก็หนีไม่พ้นเครื่องพิมพ์ดีดนี่แหละครับ ซึ่งตอนนี้เครื่องพิมพ์ดีด กำลังกลายเป็นวัตถุโบราณที่ควรเก็บสะสมไว้ให้ลูกหลานได้ดู ได้เห็น ว่าเมื่อก่อนรุ่นคุณลุง คุณป้า โตมาพร้อมกับเครื่องพวกนี้และวิทยุธานินทร์ และตู้เย็นซิงเกอร์
                ผมตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ เจอความกดดันอย่างมาก เพราะต้องใช้สมาธิสูงเวลาส่งข่าว เพราะเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องกองบ.ก จะเจอเสียง”ข้าวตอก”เครื่องพิมพ์ดีด ดังระรัวจะบรรดาเหยี่ยวข่าวโต๊ะต่างๆ ผมต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควรเวลาพิมพ์งาน เพราะมือไม้มักจะพาลกดผิด กดถูก อยู่เสมอ เนื่องจากอัตราเร่งคนละพิกัดกับบรรดารุ่นพี่ทั้งหลาย
                ผมพิมพ์ในอัตราความเร็วระดับ “เดินจงกลม”แต่บรรดาพี่ท่านแต่ละคนพิมพ์เหมือนคนขับ”เอฟวัน “ทำให้จังหวะในการพิมพ์ของผมพัง พิมพ์ผิดตลอด แถมบางคนยังพรสวรรค์สูง ไม่ต้องพิมพ์ตามตำรา ที่ต้องเอานิ้วมือทั้งหน้าวางเรียงรางบนแป้นพิมพ์ เพราะใช้ดัชนีนิ้วเดียว พิมพ์ดีด แต่ความเร็วและผลงานที่ได้อาจจะทำให้เลขาหน้าห้องของบริษัทไหน อายเอาได้ง่ายๆ
                แต่โลกใบนี้หมุนเร็วเกินไปครับ พออินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้คนบนโลกมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกชนิดที่บอกได้ว่า”โลกใบนี้ จะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนดั่งเดิม”
                คนข่าว ก็ไม่ได้รับการละเว้น...เฉกเช่นกัน
                นับวันสังคมของความเป็นจริงของผู้คนบนโลก โดนลดบทบาทความสำคัญลงไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็นสังคมออนไลน์ ที่เข้ามาแทนที่ ถ้า 5 ปีก่อน มีคนมาบอกว่าเชื่อมั้ยว่าคนไทยต่อไปอีกไม่กี่ปีจะหมกหมุ่นอยู่กับโลกของโชเชียล เน็ตเวิร์ค ผมคงส่ายหัวบอกว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าเป็นฝรั่งมังค่าอาจจะเป็นไปได้ง่าย แต่คนไทยคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น
                สุดท้ายก็หน้าแหกตามระเบียบ เพราะลืมจุดเด่นของคนไทยที่คนทั้งโลกต่างกลัวเกรงคือ
คนไทยเป็นคนชอบบริโภคและเป็นนักซื้อตัวยง  เราเป็นประเทศเล็กๆ แต่ชื่อเสียงเรื่องช๊อปแชมป์นั้น เราได้ตำแหน่งมานานแล้ว ฝรั่ง ยุ่น จีน แขก ฯลฯ ต่างซูฮกในพฤติกรรมการซื้อ แบบราบเป็นหน้ากลองของพี่ไทยมานมนานแล้ว
ว่ากันว่า ทัวร์ไทยไปเที่ยวเมืองนอก ลงช๊อปร้านไหน ถ้ายี่ห้อถูกใจ...มีเท่าไหร่ ก้อหมด!
มาถึงตอนนี้คนไทยสร้างชื่อครั้งใหม่ ลบโปรไฟล์ “ช๊อปแชมป์”ออกไป หลังมีการเปิดสถิติว่าในบรรดาเมืองหลวงของโลกใบนี้นั้น เมืองหลวงของประเทศไหนครองแชมป์มีประชากร เฟซบุ๊ค ของคุณน้องมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ค มากที่สุด
บางกอก เมืองหลวงของสยามประเทศไทยขึ้นแท่นคว้าแชมป์อันดับหนึ่งด้วยยอดประชาชนกรเฟซบุ๊คถึง 8,600,00 คน อันดับสองก็คือประเทศที่มีคนนับถืออิสลามมากที่สุดในโลก บ้านใกล้เรือนเคียงในย่ายอาเซียนนี่เอง กรุงจาการ์ต้า ของอินโดนีเซีย วิ่งไล่ขึ้นมาเป็นอันดับสองด้วยยอด 7,400,000 คน ส่วนที่สามคือ อิสตันบลู ของตุรกี ที่มีคนเล่นเฟซบุ๊คเฉพาะในเมืองหลวง 7,000,000 คน
มหานครลอนดอน ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องคุกเข่าคารวะในลำดับที่สี่ เพราะถึงแม้จะมีคนแออัดยัดเยียด แย่งกันอยู่ แย่งกันหายใจขนาดไหน ยังมีคนเล่นเฟซบุ๊คแค่ หกล้านหนึ่งแสนคนเท่านั้น
เห็นมั้ยครับ ว่าไทยเราเจ๋งจริง ไรจริง จนคนต่างชาติบางคนอิจฉาออกมาพูดเชิงกระแนะกระแหนว่า”เรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ย...คนไทย เก่งนัก!555
วกกลับมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัว คือสังคมข่าวในยุคนี้ สมัยนี้ ที่ไม่ต้องเถียงว่าโลกออนไลน์ ในปี พ.ศ.นี่สำคัญขนาดไหน เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณๆเดินเข้าไปในร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ แล้วมองดูรอบตัว ถ้าเผอิญว่าผู้คนในร้านไม่มีใครก้มหน้า ก้มตา กดโทรศัพท์แชดบ้าง หรือเล่นเฟซบุ๊คบ้าง หรือเล่นเน็ตบ้าง ขอให้ขยี้ตา แล้วกลับเข้าไปมองอีกหน ถ้ายังเจอผลลัพท์เดิมๆให้อุปมาได้ว่า เป็นร้านของผู้สูงวัย และไม่มี Wi-Fi ให้ใช้...
ดังนั้นเมื่อโลกอนาคตบังคับให้ผู้คนต้องออนไลน์ ดังนั้นนักข่าวทั้งหลายก็ต้องแปลงกายมาเป็น”นักข่าวออนไลน์”ให้เข้ากับยุคสมัย
คุณสุทธิชัย หยุ่น “เจ้าพ่อเนชั่น” ซึ่งบรรดาน้องๆยกนิ้วให้เป็นปรมาจารย์ของคนข่าว คุณสุทธิชัย ด้วยความที่เป็นคนที่โลกกว้าง คุณสุทธิชัย มองเห็นว่าอนาคตของนักข่าวเมืองไทยจะต้องเดินไปอย่างไร หลายปีที่ผ่านมา หลายสำนักข่าวยังคงไม่ตื่นตัวต่อสภาวะโลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คุณสุทธิชัย ได้เรื่มเปลี่ยนพฤติกรรมนักข่าวของสำนักข่าวของตนเพื่อรับมือกับโลกของข่าวสารในอนาคต เพราะยิ่งเปลี่ยนช้า นั่นย่อมหมายถึงล้าหลังไปทุกนาที
ผมเองติดตามวิสัยทัศน์ของสุทธิชัย หยุ่นมาตลอด แถมแอบเอาเป็นต้นแบบในการทำข่าว พี่ๆน้องๆนักข่าวหลายคนที่กำลังเป็นนักข่าวออนไลน์ อาจจะยังสับสนและไม่เข้าใจบทบาทของคำว่า”นักข่าวออนไลน์”ที่จะต้องรับมือกับอะไรบ้างในอนาคต ผมขอหยิบบทความของคุณสุทธิชัย ที่เขียนในบล็อกเอามาเผยแพร่อีกรอบ เพื่ออย่างน้อยอาจจะสร้างมุมมองสำหรับโลกออนไลน์....






คุณสุทธิชัย หยุ่นเขียนเล่าไว้ในบทความว่า
“ห้องข่าวดิจิตัลคือศูนย์ปฏิบัติการที่คนทุกตำแหน่งทุกหน้าที่จะต้องปรับตัว,ปรับความคิด, ปรับทัศนคติต่อการทำงานข่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ใช่เพียงบอกว่าเห็นด้วยกับการต้องปรับเปลี่ยน, แต่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก็ยังใช้กระบวนการคิดและทำงานเหมือนเดิม
อย่างที่มีคำกล่าวในหลายวงการว่า "ยิ่งเปลี่ยน,ยิ่งเหมือนเดิม"
             แต่สัจธรรมวันนี้สำหรับคนข่าวก็คือว่าหากเขาไม่เปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเป็นไปของการรับรู้ข่าวสารในสังคม เขาก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่มีความปรานีสำหรับคนที่ปฏิเสธความเป็นจริงของวันนี้
            เข้าสูตร Adapt or Die
            หรือ Change...or be changed

นั่นแปลว่าหากคุณไม่เปลี่ยน, คุณก็จะถูกเปลี่ยนอยู่ดี
เริ่มจากกระบวนการทำงานของนักข่าวในภาคสนามซึ่งจะต้องใช้ความเป็นดิจิตัล และ social media รวมถึงความ
            สามารถในการใช้ "ปัญญาแห่งฝูงชน" (wisdom of the crowd) ในการตรวจสอบ, แสวงหา, วิเคราะห์, ระดมความคิด, แจกแจงและแจกจ่ายข่าวสารและข้อมูลอย่างคล่องแคล่วทึ่จังหวะการทำงานตลอดทั้งวัน
 ถ้าคุณเป็นนักข่าวสายทั่วไป, คุณใช้ทวิตเตอร์ในการรายงาน breaking news ณ นาทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
หากคุณอยู่สายข่าวทำเนียบรัฐบาลหรือสภาฯ คุณต้อง live-tweet การประชุมที่มีความสำคัญ และเพื่อรวบรวมความ
          เคลื่อนไหวของข่าวเดียวกันให้เห็นภาพรวม คุณก็จะส่งข้อความที่ทวีตหลาย ๆ ข้อความไปที่ blog ของคุณเพื่อให้เห็น ภาพรวมและเบื้องหลังของข่าวที่สามารถตีความให้สอดคล้องกับความต้องการของคนอ่านได้
                        หากคุณใช้ Storify เป็น คุณก็สามารถรวบรวมข้อความทั้งของคุณและคนอื่น ๆ ที่ทวีตหรือที่เขียนลงเฟซบุ๊คและคลิบที่ส่งขึ้น YouTube ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเพื่อการเรียบเรียงและรวบรวมให้เห็นการไหลเทของเหตุการณ์หรือความเห็นใน แต่ละเรื่องนั้น ๆ อย่างเป็นระเบียบและตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำได้อย่างต่อเนื่อง
                       ทุกวันนี้ คนข่าวที่คล่องแคล่วจรู้จักวิธีใช้ Twitter, Facebook, Google+ และ YouTube ให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการทำข่าวและสร้างชุมชมข่าวของตน
                      ไม่ว่าคุณจะอยู่สายข่าวไหน การทำงานของคุณจะผสมผสานวิธีการทำงานแบบดั้งเดิมแต่ทรงประสิทธิภาพ นั่นคือการเช็ค
  ข่าวด้วยโทรศัพท์, ด้วยการนัดพบแหล่งข่าว และตรวจสอบข่าวดิจิตัลผ่านการเฝ้าติดตาม #hashtags หรือ feeds ในทวิตเตอร์และหน้าของเฟซบุ๊ค อีกทั้งใช้ Searches ของ social media อย่างเป็นระบบ
              คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้ TweetDeck หรือ HootSuite หรือ Twitter Lists ในการเฝ้าระวังแหล่งข่าวสำคัญ ๆ รวมไปถึงการค้นหาและ hashtags ของคนอื่น ๆ ที่เกาะติดเรื่องราวที่อยู่ในสายข่าวของคุณอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
               ในฐานะนักข่าวดิจิตัลในภาคสนาม คุณทวีตข่าวที่เกิดขึ้น และส่งข้อความเบื้องหลังข่าวไปถึงบรรณาธิการข่าวของคุณ
                  ทันทีที่คุณตรวจสอบความแม่นยำอย่างรวดเร็วและฉับพลัน
อย่าให้ "ความเร็ว" มาทำลาย "ความแม่นยำ" หรือ "ความน่าเชื่อถือ" เป็นอันขาด
ดั่งคำขวัญที่ผมคิดว่าควรจะต้องเขียนตัวโต ๆ ติดไว้ข้างฝาของห้องข่าวทุกห้อง: Get it first. But first, get it right.
         ในกระบวนการทำงานข่าวประจำวันนั้น นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักใช้ crowdsourcing อย่างชาญฉลาด..นั่นแปลว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปที่เข้ามาอยู่ใน social media เช่นหากเป็นข่าวใหญ่หรือที่มีความสำคัญต่อชุมชน คุณก็ควรจะเข้าไป  live chat กับเพื่อนหรือผู้ตามคุณในเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม, ความเห็นแย้ง, หรือมุมมองที่คุณมองข้าม
                   บ่อยครั้ง, คนที่อยู่ในแวดวงเครือข่ายสังคมจะสนทนากันในหัวข้อที่กำลังเป็นข่าวร้อนอยู่แล้ว คนข่าวจึงควรจะเข้าไปร่วมสนทนา หรือสอดแทรกข้อมูลและเบื้องหลังข่าวที่ตนได้มาจากการเช็คข่าวเพื่อให้การแลกเปลี่ยนใน social media เข้าประเด็นของเนื้อหาที่คุณกำลังเกาะติดอยู่ หรือเรียนรู้มุมมองใหม่ที่คุณคาดไม่ถึง
            เพราะ "ปัญญาแห่งฝูงชน" นั้นมีอยู่จริงและบ่อยครั้งจะทำให้ปัญญาของคนทำข่าวได้รับการเสริมส่งให้กว้างขวางและลุ่มลึกขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
            นักข่าวรุ่นใหม่จะต้องมีความคึกคักในการแสวงหาและใช้ "ฐานข้อมูล" หรือ databases เพื่อการนำเสนอลักษณะ interactive และให้การเสนอข้อมูลมีทั้งภาพ, กราฟฟิค, วีดีโออย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
          นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักการใช้ #hashtag ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อของเรื่องราวที่คุณติดตามอยู่ หรือชื่อของชุมชนที่คุณรับใช้
             ด้านข่าวสาร หรือสองอย่างผสมกันเพื่อความสะดวกในการติดตามข่าวและความเห็นในหัวข้อนั้น ๆ ทั้งจากคุณเองและผู้ที่ติดตามการทำงานของคุณในทุกรูปแบบ
             เพราะเมื่อคุณใช้ #hashtag ใดในการทำข่าวหัวข้อใด, ชุมชนทั้งหมดที่เกาะติดเรื่องราวของคุณอยู่ก็สามารถจะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกันเองหรือกับคุณอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
            อย่าลืมว่านักข่าวดิจิตัลต้องเตือนตัวเองเสมอว่าจะต้องคิดวิธีนำเสนอข่าวในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, แผนที่, ภาพ, ข้อความ, เอกสารต้นทาง, ลิงก์ไปยังแหล่งข่าวและข้อมูลอื่น ๆ
          การสร้าง "อัตตลักษณ์" ของตัวเองควบคู่ไปกับ "brand" ขององค์กรข่าวของตนคือเส้นทางแห่งการสร้างความเป็น "คนข่าวมืออาชีพยุคดิจิตัล" อย่างถาวรและแท้จริง
คนข่าวภาคสนามที่เรียกตัวเองว่า "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" แต่ดั้งเดิม ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และต้องถือว่าตนเป็นเป็น "คนข่าวภาพ" หรือ visual journalist ซึ่งย่อมหมายความว่าจะรายงานข่าวและภาพ, วีดีโอและทุกอย่างที่เสนอผ่านสายตาของผู้บริโภาคข่าวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
            ในการปฏิบัติหน้าที่แบบ "Digital First" นั้น คนข่าวภาพจะวางตัวให้ทำกิจกรรมอย่างนี้
              ๑. ก่อนอื่นใช้มือถือรุ่นใหม่ถ่ายภาพเหตุการณ์หรือสิ่งที่พบเห็นทันทีและส่งทวีตหรือขึ้นบล็อกเป็น breaking news ทันที
๒. พร้อมกันนั้น เขาหรือเธอก็จะถ่ายวีดีโอ ไม่ว่าจะใช้กล้องวีดีโอใน smartphone หรือด้วยกล้องที่ใช้ในการรายงานข่าวทีวี
๓. คนข่าวภาพต้องคิดทันทีว่าจะถ่ายภาพหลาย ๆ มุมเพื่อสามารถจะทำเป็น slideshow ในภายหลัง และสามารถจะเลือกเอารูปที่โดดเด่นที่สุดของเหตุการณ์นั้น ๆ สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ในวันต่อไป
๔. เขาต้องไม่ลืมที่จะอัดเสียงรอบด้าน หรือเสียงให้สัมภาษณ์ของแหล่งข่าวในเหตุการณ์นั้นด้วยอุปกรณ์อัดเสียงที่ทุกวันนี้
             มีมากมายและ ติดมากับกล้องในทุกรูปแบบ เพื่อจะได้ใช้ประกอบ slideshow ที่จะทำขึ้นเว็บไซท์หรือบล็อกของตัวเอง
๕. หากมีโอกาส เขาจะถ่ายรูปหน้าของคนเป็นข่าว (mugshots) เพื่อใช้ประกอบบทความหรือสารคดีหรือใช้ในอนาคตเมื่อแหล่งข่าวนั้น ๆ กลายเป็นข่าวอีกในวันข้างหน้า
๖. หากเป็นกรณีภัยพิบัติ เขาจะถ่ายรูปของตึกรามบ้านช่องหรือฉากเหตุการณ์เพื่อจะได้นำไปใช้งานอีกหลายด้านที่นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ หากมีความจำเป็นต้องใช้ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในวันข้างหน้า
๗. คนข่าวภาพต้องไม่ลืมสอบถามและจดชื่อเสียงเรียงนามและตำแหน่งแห่งหนให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะข้อมูลเช่นนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อต้องนำเสนอพร้อมกับผลงานภาพนิ่ง, วีดีโอ, กราฟฟิกที่จะมีขึ้นในสื่อต่าง ๆ
๘. คนข่าวภาพภาคสนามจะปรึกษากับหัวหน้าโต๊ะหรือบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดว่าจะตัดต่อวีดีโอหรือเลือกภาพนิ่งใดในการนำเสนอ ไม่ว่าจะเอาขึ้นเว็บไซท์, บล็อก, เฟซบุ๊ค, ยูทูปหรือเพื่อตีพิมพ์ในสื่อของตนในเวลาต่อมา
              จะเห็นว่าในโลกสื่อยุคดิจิตัลวันนี้ คนข่าวที่คิดว่าตัวเองเป็นแค่ "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" และมีหน้าที่ถ่ายภาพหรือวีดีโออย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการรายงานข่าวหรือบรรยากาศสีสันบรรยากาศ ณ ที่เกิดเหตุจะกลายเป็นคนรุ่นเก่าและจะถูกคนข่าวรุ่นใหม่ที่ฝึกปรือมาเป็น digital journalists for all platforms แซงหน้าจนหาบทบาทของตัวเองไม่เจอ
การปรับบทบาทครั้งใหญ่สำหรับห้องข่าวหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ "หัวหน้าโต๊ะ" หรือ "บรรณาธิการโต๊ะ" จะต้องเข้าใจบริบทใหม่ของ "อนาคตแห่งข่าว"
          ไม่ใช่แค่คนข่าวที่ต้องปรับตัวให้เข้ายุคดิจิตัล, ตำรวจไทยก็เริ่มเข้ามาใช้ social media ในการสร้าง "ชุมชนข่าว" ที่จะสอดประสานกับความต้องการของคนในเมืองหลวงที่ต้องการร่วมในการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมอย่างคึกคักแน่นอน
       สน. หัวหมากเป็นหน่วยงานตำรวจแห่งแรก ๆ ที่เปิด Facebook เพื่อให้เป็นแหล่งรายงาน, แจ้ง, และรับคำร้องเรียนจากประชาชนเพื่อช่วยในการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างฉับพลันทันการ อีกทั้งยังเป็นแหล่งข่าวสารที่ชุมชนข่าวสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างทันท่วงทีและกว้างไกล
        
......................................................................................................................................................

                ปลายปีที่ผ่านมา เชียงใหม่นิวส์ ได้มีการขยับตัวอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ผ.อ สราวุธ แซ่เตี๋ยว สั่งให้กองบรรณาธิการตั้ง”นักข่าวออนไลน์”ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อเป็นนักรบชุดแรกที่กระโจนเข้าไปในสังคมของข่าวออนไลน์ งานนี้มีการติดอาวุธ ด้วยสมาร์ทโฟนจากค่ายดัง เพื่อแปลงร่างให้นักข่าวทุกคน เป็น”โมโจ” ที่ย่อมาจาก Mojo (mobile journalist)

                ณ.บัดนาว หลังจากผ่านมาหลายเดือน ทีมงาน”ข่าวออนไลน์”ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้องๆไฟแรงทั้งหลาย กำลังเป็นกำลังหลักที่จะปรับเปลี่ยนเชียงใหม่นิวส์ให้เข้าสู่สนามข่าวแบบออนไลน์ เพื่อนำข้อมูล ข่าวสารต่างๆมานำเสนอให้ผู้คนทั่วไป ทั้งที่เป็นลูกต้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน หรือคนที่อ่านข่าวผ่านเว๊บไซต์ รวมถึงตามข่าวสารแบบฉับไวผ่านทางทวิตเตอร์ Live_chiangmai ซึ่งมีการรายงานข่าวสารแบบฉับไวตลอด 24 ชั่วโมง

                อนาคตของข่าวสารในโลกออนไลน์ จะปรับโฉมไปอีกเท่าใด มั่นใจว่าไม่มีใครทำนายได้ เพราะโลกของข่าวสารไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้นนวัตกรรมใหม่ๆก็ต้องผุดขึ้นมาอวดโฉมตามมาเรื่อย ๆเฉกเช่นกัน

               อนาคตของ”นักข่าวออนไลน์” จึงน่าติดตาม ด้วยความตื่นตา ตื่นใจ เป็นอย่างยิ่ง...

                                                                                                                                                                                        กุนซือ