วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อาหารสุดฮิต AEC


เริ่มนับถอยหลังเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน
      จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้า
ได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า
ถ้าเออีซี คลอดเมื่อไหร่ หน้าตาของภูมิภาคแถบนี้จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ผู้คนจะเดินทางไปมา หาสู่ ค้าขายกันมากขึ้น แบบไร้พรมแดน


ผมไปอ่านบทความของ กูรู อาเซียน อย่าง ดร.เกษมสันต์ วีระกุล  ซึ่งผมแอบเป็นแฟนคลับท่านมานาน ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาเซียนที่ ดร.เกษมสันต์ นำเสนอ เพราะนำเสนอง่าย เข้าใจเร็ว
และที่สำคัญที่สุดคือ....สนุก
ดร.เกษมสันต์ เขียนบทความเรื่องอาหาร การกิน ของผู้คนในแถบอาเซียน ที่ขึ้นชื่อ ลือชา ใครไปเที่ยวประเทศไหน ต้องหาทางไปรับประทาน ประหนึ่งเป็นอาหารประจำชาติ
        แต่ละประเทศก็มีทีเด็ด ของตัวเองแตกต่างกัน วันนี้เลยขออนุญาต หยิบยกมานำเสนอต่อ เผื่อใครจะไปเที่ยวเพื่อนบ้านแถวอาเซียนแล้ว จะได้รู้ว่า เป้าหมายที่จะต้องไปลิ้มลองรสชาติ อาหารประจำถิ่นที่...พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!
เริ่มจากสยามเมืองยิ้ม  คงไม่ต้องสงสัยว่าเมนูที่ขึ้นชื่อ เป็นที่รู้จักของคนต่างชาติคือ ต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung)  ด้วยส่วนผสมสมุนไพรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พริก, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด ฯลฯ ปรุงรสน้ำแกงสไตล์เผ็ด ร้อน มีรสเปรี้ยวจากมะนาว ที่มาของเมนูจานนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากำเนิดในปีใด แต่สันนิษฐานว่าเข้ามาพร้อมกับการรับข้าวเจ้ามาจากอินเดีย ทำให้กับข้าวเปลี่ยนไป เริ่มมีน้ำแกงเข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดียและแกงน้ำแบบจีน


                                                              ต้มยำกุ้ง


                มาถึงบ้านพี่เมืองน้อง สปป.ลาว คือสลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เมนูนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารฝรั่งเศส เครื่องปรุงหลักคือผักน้ำ ซึ่งคาดว่าชาวฝรั่งเศสนำมาปลูกในสปป.ลาว นำมายำรวมกับ มะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดหอม ผักชี ไข่ต้ม ถั่วลิสง หอมเจียว กระเทียมเจียว หมูสับรวน น้ำสลัดทำจาก น้ำมันสลัด น้ำมะนาว น้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เติมไข่แดงบดเพื่อให้ข้น


                                                                สลัดหลวงพระบาง

               มาถึงอาหารจากแดนโสร่ง ซึ่งได้แก่ หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของเมียนมา ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ เมนูนี้จัดเป็นอาหารว่างคล้ายกับยำเมี่ยงบ้านเรา เป็นใบชาหมักทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่ว งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว

  
                                                                        หล่าเพ็ด

        หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมและเป็นอาหารประจำชาติของประเทศกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกบ้านเรา มีส่วนผสมของเนื้อปลา เครื่องแกง และกะทิ    เป็นอาหารที่นิยมรับประทานในเทศกาลสงกรานต์


                                                                        อาม็อก

           มาถึงเวียดนาม  เรื่องนี้เดากันไม่ยากครับว่า อาหารที่ขึ้นชื่อของเวียดนาม คือ ปอเปี้ยะเวียดนาม (Nem : Vietnamese Spring Rolls) เป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของเวียดนาม แผ่นปอเปี๊ยะทำจากแป้งข้าวเจ้า ห่อด้วยเป็นไก่ หมู กุ้ง โดยนำมาห่อรวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม รับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย


                                                           ปอเปี๊ยะเวียดนาม

          ถ้าพูดถึงแดนเสือเหลือง มาเลเซีย ก้อต้องดั้นด้นไปทาน นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) ซึ่งนิยมทานเป็นอาหารเช้า เป็นข้าวเจ้าหุงกับกะทิ เติมใบเตยหอมลงบนข้าว หรือเครื่องเทศ ได้แก่ ขิงและตะไคร้ เพื่อกลิ่นหอม แล้วนำไปนึ่ง การรับประทานแบบพื้นบ้านจะห่อด้วยใบตอง ใส่แตงกวาหั่น ปลาทอด ถั่วลิสง ไข่ต้ม และซัมบัลซึ่งเป็นซอสมีลักษณะคล้ายน้ำพริก รสเผ็ด อาจทานคู่กับไก่ทอด หรือผักบุ้งผัด หมึกผัดพริก หอยแครง แตงกวาดอง แกงเนื้อกับกะทิ เป็นต้น


                                                                นาซิ เลอมัก

             กาโด-กาโด (Gado-gado) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย คำว่ากาโดนี้ ในภาษาอินโดนีเซีย หมายถึง ยำ ซึ่งประกอบไปด้วยผัก ทั้งผักสด ผักต้ม และผักลวก รวมถึงธัญพืชหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้  ไข่ต้มสุก ราดด้วยซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ ซึ่งปรุงด้วย กะปิ ถั่วลิสงบด กะทิ น้ำตาลโตนด พริกแดง กระเทียม กะทิ มะขามเปียก เวลาทานทานคู่กับข้าวเกรียบทอด


                                                                   กาโด-กาโด

        มาถึงแดนเมืองลอดช่อง ซึ่งไม่มีลอดช่องขาย ประเทศ สิงคโปร์  อาหารประจำถิ่นได้แก่ ลักซา (Laksa) เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวเปอรานากัน กลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่สร้างวัฒนธรรมผสมผสานแบบ
ใหม่ขึ้นมาโดยเอาส่วนดีระหว่างจีนและมลายูมารวมกัน ลักซาเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ มีลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย โดยเส้นก๋วยเตี๋ยวจะมีลักษณะคล้ายเส้นขนมจีน และมีส่วนผสมของกุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเล อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ แต่แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า


                                                                        ลักซา

               อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารพื้นเมืองของบรูไน  ทำจากแป้งของปาล์มสาคู กวนจนสุกจนเหนียวเป็นแป้งเปียก เวลาทานใช้อุปกรณ์คล้ายตะเกียบ (ต่างจากตะเกียบตรงปลายอีกข้างจะติดกัน) จุ่มแล้วม้วนก้อนแป้ง ทานเป็นคำ ความอร่อยอยู่ที่การทานคู่กับซอสเปรี้ยวที่ทำจากผลลำพู หรือน้ำพริกทุเรียนดอง และกับข้าวอื่นๆ ได้แก่ ผัดใบมัน ผักบุ้งผัดกะปิ ปลาย่าง เนื้อย่าง ฯลฯ  ในอดีตใช้เป็นอาหารเมื่อขาดแคลนข้าว


                                                                  อัมบูยัต

             สุดท้ายและท้ายสุด อาโดโบ (Adobo) เป็นอาหารฟิลิปปินส์ที่ได้รับความนิยม ปรุงจากเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลหมักด้วยน้ำส้มสายชูและกระเทียม ทอดในน้ำมันจนเป็นสีน้ำตาล บางครั้งจะเรียกอาโดโบว่าสตูฟิลิปปินส์ กินกับข้าวทั้งที่บ้านและสำหรับเหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง เพราะเป็นอาหารที่เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น อาหารชนิดนี้เก็บได้นาน น่าจะมาจากน้ำส้มสายชูที่เป็นเครื่องปรุงหลักยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย


                                                                      อาโดโบ

จากนี้ไป ใครจะแปกเป้ไปเที่ยวไหนในแถบอาเซียน อย่าลืมเขียนแปะไว้ข้างฝาว่า เป้าหมายข้างหน้า ต้องไปลิ้มลอง โดยไม่ต้อรอ...เชลล์ชวนชิม!


                                                                          กุนซือ
p_kiti@hotmail.com


วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เรื่องจีนๆ





เมื่อเศรษฐกิจโลกเกิดอาการเดี้ยงพร้อมกันทั่วโลก ประเทศไทยเราเลยโดนหางเลขตามไปด้วย โดยเฉพาะภาคส่งออกของไทยที่ยังโงหัวไม่ขึ้น เราเลยต้องกลับมาหารายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาทดแทน เพราะเป็นอาวุธเด็ดที่เป็นแชมป์โกยรายได้เข้าประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต
นักเที่ยวจีน ณ.นาทีนี้กลายเป็นลูกค้าหลัก เพราะเงินหยวนแน่นปึ๊ก แถมนักเที่ยวชาวมังกรทั้งหลายก็ชอบเดินทางมาเที่ยวสยามเมืองยิ้ม ยิ่งเป็นเทศกาลวันหยุดของจีน ภาพนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลมาเที่ยวไทยจนล้นทะลักกลายเป็นภาพปรกติ ที่เราๆท่านๆเห็นจนชินตา
เชียงใหม่เองก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักเที่ยวจีน อาจจะเนื่องจากค่าครองชีพถูก อาหารอร่อย ผู้คนอารมณ์ดี และที่สำคัญที่สุด เสียงลือเสียงเล่าอ้างจากบรรดานักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวแดนล้านนา แล้วกลับไปหอบความประทับใจขับขานผ่านทางสังคมออนไลน์แดนมังกร ทำให้เชียงใหม่เนื้อหอมสำหรับนักเที่ยวจีนจนถึงทุกวันนี้
เคยมีหลายคนมาถามผมว่า ช่วงเศรษฐกิจซบแบบนี้ ถ้าจะลงทุน ควรจะลงทุนด้านไหน
นั่งนึกอยู่นานตอบได้ประโยคสั้นๆว่า ลองทำมาค้าขายอะไรก้อได้ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนดู..น่าจะเวิร์คที่สุด ณ.บัดนาว
        เพราะ มองภาพรวมแล้วปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในเมืองไทย คงจะไม่"ยุบ"ในช่วงเวลาอันสั้นนี้
       เขียนแปะข้างฝาว่า นักท่องเที่ยวจีนยังจะเป็นลูกค้าชั้นดีของเราไปอีกนาน แซงหน้าบรรดามะริกันชน หรือยุโรป ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในอดีตของเรา
เราลองมาดูตัวเลขว่า นักท่องเที่ยวจีนนั้น หรูหรา อู้ฟู่ มากน้อยแค่ไหน ยามที่เหินฟ้าออกไปเที่ยวต่างแดน
การสำรวจข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนโดย Hotels.com (Chinese International Travel Monitor หรือ CITM) เผยว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวอย่างหรูหราขึ้น
ผลสำรวจที่น่าสนใจอีกอย่างจากรายงานปีนี้คือ 10 % ของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ใช้เงินจำนวนมากที่สุดในการท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 73,770.66 บาท (13,800 หยวน) ต่อวัน (รวมค่าห้องพักแล้ว)
        ซึ่งมากกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนทั่วไปกว่า 4 เท่า โดยนักท่องเที่ยวจีนทั่วไปมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 17,796.10 บาท(3,324 หยวน) ต่อวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายดังกล่าวกลับดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนอีก 5 % ที่ใช้จ่ายมากถึง 6 เท่าของค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายทั่วไป คือ 111,703.74 บาท หรือ 20,896 หยวน          แสดงให้เห็นถึงนักท่องเที่ยวระดับใหม่ซึ่งก็คือกลุ่มนักท่องเที่ยว “ซุปเปอร์ ลักซ์ชัวรี่” นั่นเอง
ผลสำรวจยังพบอีกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ชื่นชอบการจองห้องพักออนไลน์ การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาและจองห้องพักสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศกลายเป็นเรื่องปกติของนักท่องเที่ยวจีนไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน อัตราการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อวางแผนและจองห้องพักพุ่งทะยานเป็นอย่างมากใน 1 ปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจปีนี้เผยว่านักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์วางแผนทริป ของพวกเขาผ่านระบบออนไลน์โดยใช้สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ และแล็ปท๊อป
        ซึ่งในปีที่แล้วมีเพียง 53 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่าครึ่ง ใช้แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนในการวางแผนและจองห้องพัก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์
ดูตัวเลขแล้วถือว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล ถ้าใครได้นักเที่ยวจีนเป็นลูกค้าขาประจำ หลับตาก้อเห็นเงินหยวนลอยไป ลอยมาอยู่ตรงหน้า
        งานนี้นักลงทุนคนไหน ใครออกตัวก่อน รับรองว่า...มีชัยไปกว่าครึ่ง!
       
ปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้แบบจีนๆ สำหรับคนที่ชอบกินโต๊ะจีน คนไทยหลายคนอาจจะเกาหัวสงสัยมานานว่า เวลากินโต๊ะจีนทำไมเสิร์ฟเนื้อก่อน ทำไมเสิร์ฟข้าวทีหลัง มาก็อิ่มแล้ว
       หรือแม้กระทั่งเอามาทำไม ไม่ชอบเลย อยากรู้มั้ยครับว่า ว่าทำไมการเลี้ยงโต๊ะจีน ถึงมีลำดับการเสิร์ฟอาหารเช่นนั้น เขาวิสัชนาว่า
ลำดับการเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะจีน สืบเนื่องมาจากการรับประทานอาหารของชาวจีน ที่นิยมรับประทานอาหารตามลำดับ ดังนี้
กับแกล้มหรือออเดิร์ฟกินเล่นรอจานหลัก อาจจะเป็นจานเย็นหรือร้อนก็ได้
ซุปน้ำข้น มีเนื้อสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารจานพิเศษ เช่น หูฉลาม เป๋าฮื้อ
อาหารต่าง ๆ ที่มีรสอาหารหลากหลาย ซึ่งการเรียงลำดับอาหารที่ดี จะทำให้ผู้รับประทานไม่รู้สึกเลี่ยน จานหลักอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมู ไก่ เป็ด
จานหลักอาหารประเภทปลา ที่ชาวจีนนิยมนำมากินในโต๊ะจีน เพราะปลาในภาษาจีนจะพ้องกับคำว่า “หยู” ที่แปลว่า ล้นเหลือ
อาหารประเภทซุป ส่วนใหญ่จะวางหลังอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพื่อจะได้คล่องคอ
ข้าว เสิร์ฟมาที่หลัง เนื่องจากคนจีนถนัดกินกับข้าวกับสุรามากกว่า
        ข้าวจึงมักจะสั่งมากินตอนท้าย แบบว่ากินข้าวก่อนจะกลับบ้านของหวานหรือผลไม้นั้น ถูกเพิ่มในโต๊ะจีน เพื่อให้ครบทั้งของคาวของหวานในการจัดโต๊ะจีนนั้น
       หากเจ้าภาพนำอาหารที่แปลกและดี เช่น หูฉลาม เป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หมูหัน เป็ดปักกิ่ง รังนก ฯ ซึ่งเป็นของที่มีราคาแพงมาเสิร์ฟในงาน นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงกับแขกรับเชิญ ผู้มาร่วมงานทุกคน
       ณ.ชั่วโมงนี้ต้องต้องเข้าใจคนจีนให้ครบทุกองศามากขึ้นกว่าเดิมครับ
        เพราะคุณคือ...ลูกค้ารายหย่ายยยยย!
จ้ายเจี้ยน...แล้วพบกันใหม่ครับทุกท่าน

                                                                       กุนซือ
                                                    p_kiti@hotmail.com
 

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แท็กซี่มิเตอร์ ที่เชียงใหม่





เห็นข่าวทะเลาะเบาะแว้งระหว่างแท็กซี่ ที่สนามบินเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะสาเหตุมีการเปิดประมูลที่จอดรถรับส่ง ภายในสนามบิน เมื่อมีการประมูลก็ต้องมีสองฝ่ายคือ ฝ่ายที่ชนะการประมูลคือ บริษัท คาร์เรนทัล เชียงใหม่ และฝ่ายที่ผิดหวังคือสหกรณ์นครล้านนาเดินรถ จำกัด   จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวทะเลาะเบาะแว้ง ปรากฏไปตามสื่อ
เรื่องประท้วง หรือเรื่องขัดประโยชน์ ค่อยมาว่ากันวันหลังครับ  วันนี้ขออนุญาตคุยกันเรื่องแท็กซี่มิเตอร์ ที่เปิดบริการในเชียงใหม่ก่อน
ก็รู้ๆอยู่ครับว่าคนเชียงใหม่นั้นนิยมเดินทางโดยรถส่วนตัว
        ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง หรือจักรยานยนต์ ถ้าจะใช้รถบริการรับส่งสาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสองแถวหรือว่าสี่ล้อแดง รวมถึง ตุ๊กๆ
         ส่วนแท็กซี่มิเตอร์ ที่เปิดให้บริการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่นั้นส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่
ลูกค้าหลักของแท็กซี่มิเตอร์ทั้งหลาย ก็เลยเป็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
ดังนั้น ตลาดหลักของแท็กซี่ มิเตอร์ คือ สนามบินเชียงใหม่
ผมเองเวลาเดินทางออกนอกพื้นที่ ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้บริการบรรดานกเหล็กโลว์คอสต์ ทั้งหลายเนี่ยแหละครับ เพราะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน
เวลาบินกลับมาที่เชียงใหม่  โดยส่วนตัวก็ไม่อยากจะเป็นภาระใคร ที่ต้องขับรถมารับ ก็เลยใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์ จากสนามบินเป็นหลัก เพราะง่ายและไม่ต้องรอนาน เดินทางได้ทันที
ช่วงก่อน เวลาเรียกใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์ ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเรียกรถจากสนามบิน 50 บาท  จ่ายเสร็จสรรพก็สะพายเป้กระโดดขึ้นแท็กซี่ได้เลย คนขับเขาก้อจะกดมิเตอร์ คิดตามระยะทาง                       สนนราคาที่จ่ายประจำจากสนามบินเชียงใหม่มาถึงบ้านผม ก็ประมาณ 180 บาท
แต่ช่วงหลัง เกิดปรากฏการณ์ขึ้นมาใหม่ เวลาเรียกใช้แท็กซี่ มิเตอร์จากสนามบิน มีเจ้าหน้าที่ที่ติดต่อลูกค้าอยู่ประตูทางออก จะถามพิกัด จุดหมายปลายทาง และแจ้งราคาเหมาให้ทราบ
        ซึ่งราคาจากเดิมที่ผมเคยจ่าย 180 บาท กลายเป็นราคา 300 บาท
มีให้เลือกสองอย่าง คือ ไป กับ  ไม่ไป
ผมเองเจอครั้งแรกถึงกับหงุดหงิด บอกปัดปฏิเสธ เพราะมองว่าเป็นการมัดมือชก หลับตาคิดว่าถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยวต่างถิ่น เขาไม่รู้ว่าพิกัดอยู่ตรง แล้วโดนราคาเหมาแบบนี้ เขาจะรู้ว่าราคานี้เป็นธรรมได้อย่างไร
หลังจากบอกปัด ในใจคิดว่าเดี๋ยวไปรอรถแท็กซี่ ที่วิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารที่จะเดินทางออกจากสนามบินเชียงใหม่ก็ได้  อาจจะรอนานหน่อย แต่รู้สึกสบายใจกว่า ต้องมาโดนราคาเหมา
        รออยู่นานพอสมควร กว่าจะมีรถแท็กซี่ ที่มาส่งผู้โดยสาร ที่ประตูทางเข้า
พอผู้โดยสารลงจากรถ  ผมรีบเดินเข้าไปใช้บริการต่อทันที
        เชื่อหรือไม่ครับ เกิดปรากฏการณ์ อะเมซซิ่ง ไทยแลนด์ ขึ้นมาอีกหน
คนขับ หันมาบอกว่า "รับไม่ได้ครับ"
        ผมถามว่า ทำไมเหรอ ก็ใช้บริการตามปรกติ
        คนขับตอบสั้นๆว่า"เขาไม่ให้รับ" แล้วบึ่งรถออกไปทันที
ผมเลยต้องมึนตึบ ว่า"เขา" นั้นคือใคร จนทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบ
แต่วันนั้นคำตอบสุดท้ายคือ.....
        เดินแบกเป้ กลับมาตายรัง ยอมจ่ายไป 300 บาท เพื่อจะได้กลับบ้าน
นั่งแท็กซี่กลับบ้าน นั่งไป คิดไป ดันไปคิดถึง ดอน  คาลิโอเน่ แห่ง ก็อดฟาเธอร์ ได้อย่างไร ไม่ทราบสาเหตุ
ตั้งแต่นั้นมา เลยต้องทำใจ ลงเครื่องปุ๊บ สะพายเป้เหมือนเดิม  
        แต่เพิ่มเติมคือ ควักตังค์ 300 บาท เตรียมไว้เลย....รับรองไม่ผิดหวัง
ช่วงหลังเวลาเรียกใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์  นั่งไป ก้ออยากสะกิดถามพี่คนขับแท็กซี่่ว่า....
"เอ่อ...พี่ครับ เมื่อไหร่พี่จะถอดป้ายมิเตอร์ที่ติดอยู่บนหลังคาออกซักทีหละครับ  ผมว่ามันมี...เหมือนไม่มีนะครับ"
กุนซือ
p_kiti@hotmail.co

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

Social Network แบบไทยๆ





ขึ้นชื่อว่าโลกออนไลน์ ตอนนี้กลายเป็๋นสีงคมที่ใหญ่มากของโลกรวมถึงเมืองไทย  และยังเป็นสังคมที่ส่งผลลต่อชีวิตเราๆท่านๆไปแล้ว เพราะคนไทยส่วนใหญ่หันไปใช้ชีวิตในสังคมออนไลน์ มากกว่าสังที่แท้จริง แต่ละคนก้มหน้า ก้มตา เล่นแต่มือถือ ไม่มีการสนทนาระหว่างกันเหมือนในอดีต
เพื่อนผมบางคนนั่งโต๊ะตรงข้ามกันแท้ๆ ยังไม่คุยกัน แต่ดันแชดกันหน้าตาเฉย หรือว่ากลัวเหนื่อยเวลาพูด  จนผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายเริ่มส่งเสียงเป็นห่วง กลัวเยาวชนไทยในอนาคตจะ...
         สายตาเสีย และเป็นใบ้กันทั้งประเทศ
เรื่องนี้ฟันธงได้เลยครับว่าสังคมก้มหน้าในปัจจุบันส่งผลร้ายต่อเราๆท่านๆแน่นอน  เพราะในอนาคตเราจะไม่หันหน้าคุยกัน แต่ดันจะเชื่อข้อมูลจากสังคมออนไลน์ ยิ่งเดี๋ยวนี้ข้อมูลมั่วๆ การสร้างข่าวเท็จ สร้างกระแส มีให้เห็นกลาดเกลื่อนในสังคมออนไลน์  รับข่าวสารกันผิดๆถูกๆ แล้วก้อแชร์กันไป
        จนบางครั้งสังคมสับสน มีการกล่าวประณามกันผ่านโลกออนไลน์ ทั้งๆที่ไม่ใช้เรื่องจริง
ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเองไม่ค่อยได้เขียนหนังสือเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ใช้พิมพ์งานจากคอมพิวเตอร์เป็นหลัก นานๆเข้าก็เลยไม่ค่อยหยิบปากกาขีดเขียน เน้นแต่พิมพ์ในคอมพ์ หรือในมือถือ เท่านั้น
พอวันไหนจับปากกามาเขียนหนังสือ แทบจะสะบัดหน้าไม่เชื่อตัวเองว่า ลายมือเปลี่ยนไปมาก..ถึงมากที่สุด
เขียนไป ยังสงสัยไป ว่าผมไปเรียนวิชาเขียนภาษาขอมมาจากไหน  เขียนเองยังอ่านไม่รู้เรื่อง ตัวหนังสือหงิกงอเหมือนหนอนโดนขี้เถ้า ใครอ่านออกต้องขอบอกว่า..ยอดคน
นี่คือผลผวงจากการละเลยมานาน ตอนนี้พยายามแก้ไขอยู่ครับ แต่ละสัปดาห์พยายามเขียนหนังสือให้มากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะสายเกินแก้
       เขียนตัวหนังสือไทยแท้ๆแต่คนอ่านไปหยิบพจนานุกรมเขมรมาแปล
วกกลับมาเรื่องพฤติกรรมโชเชียล เน็ตเวิร์คในเมืองไทยกันหน่อยครับ  ผมลองไปหาข้อมูลมาปรากฏว่าปีนี้เขายังไม่ได้สำรวจตัวเลขออกมาว่า พฤติกรรมของพี่ไทยทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
         เลยขอหยิบข้อมูลจากปีที่แล้วมาโชว์ประกอบให้เห็นภาพไปพลางๆก่อนก้อแล้วกันนะครับ
จากตัวเลขปีที่แล้ว ประเทศไทย ใช้ facebook มากเป็นอันดับ 9 ของโลกครับ เท่ากับประเทศเยอรมนี โดยมีจำนวนผู้ใช้มากถึง 28 ล้านราย คิดเป็น 42% ของประชากรทั้งประเทศไทย  
        ส่วนอันดับ 1 ยังเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 180 ล้านราย
การเติบโตของผู้ใช้ Social Network ในไทยนั้น ปรากฎว่า
         คนไทย ใช้ Facebook 28 ล้านราย   โตขึ้น  53%
         คนไทยใช้ Instagram 1.7 ล้านราย โตขึ้น 13%
         คนไทยใช้ twitter  4.5 ล้านราย
อ้อ..ลืมบอกไปว่า ปีที่แล้วมีจำนวนผู้ใช้ facebook ทั่วโลกทั้งสิ้น 1,251 ล้านรายนะครับ
หากเจาะไปที่ประเทศกลุ่มอาเซียน ปรากฎว่า ไทยมีผู้ใช้มากเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจาก ที่1 อินโดนีเซีย  และที่ 2 ฟิลิปปินส์
        ที่น่าสนใจคือประเทศพม่า
         เพราะแม้พม่ามีผู้ใช้ facebook มากเป็นอันดับ 7 ของอาเซียน แต่พม่ามีอัตราการเติบโตผู้ใช้ Facebook สูงสุดในอาเซียน โดยสูงถึง 58%
โดยรวมแล้วผู้ใช้ facebook ในประเทศในกลุ่มอาเซียนมีประมาณ 170,740,000 ราย  หากเจาะเป็นรายจังหวัด พบว่ากรุงเทพ มีอัตราการใช้งาน facebook  สูงสุด (15.4 ล้านคน )คิดเป็น 55% ของคนใช้ facebook ทั้งประเทศไทย
        ส่วนจังหวัดที่มีตัวเลขอัตราการเติบโต facebook สูง คืออยุธยา , ชัยนาท และ มหาสารคาม
ลองหันมาจับแยกเป็นเพศกันบ้างครับ  ตัวเลขเมื่อปี 2013 ผู้ชายใช้ Facebook 49.18% ส่วนผู้หญิงใช้ Facebook  50.82%
ปี 2014 ตัวเลขผู้ชาย ใช้ facebook น้อยลง ผู้หญิงใช้มากขึ้น โดยผู้หญิงใช้ประมาณ 51%
มาถึงเรื่องยอดฮิตกันบ้าน  ลองมาดูกันครับว่า ในแต่ละวัน พี่ไทยของเรานิยมโพสต์ facebook เรื่องอะไรมากที่สุด
ตัวเลขสรุปออกมาได้อย่างนี้ครับ
         คนไทยส่วนใหญ่นิยมโพสด้วย รูปภาพ 57%   เช็คอิน 33% โพสพร้อมลิงค์ 21% วีดีโอ 3% และ โพสต์สถานะเฉยๆอยู่ที่ 2%
     ส่วนช่วงเวลาที่คนนิยมทำกิจกรรมบน facebook  มากที่สุด  ( Post , Like , Share ) คือ บ่าย2โมง  รองลงมาคือช่วง 5โมงเย็น และ 10 โมง
                 หันมาดูทางด้านทวิตเตอร์บ้างครับ  ตัวเลขโชว์ออกมาว่า ช่วงเวลาที่มีคนไทยทวิตมากสุด คือช่วงเวลา 3-4 ทุ่ม  โดยคนไทยทวิต 250,000 ราย ต่อวัน จำนวนที่ทวิตสูงสุด 800,000 คน ต่อวัน ในช่วงเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ
ส่วนขาประจำที่เล่นทวิตเตอร์ จะเป็นเด็กวัยเรียน โดยเด็กชอบทวิต ส่วนผู้ใหญ่ชอบอ่าน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุด หรือช่วงปิดเทอม จะมีปริมาณทวิตเพิ่มขึ้น
อีกอันหนึ่งที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะฮอตฮิต ในกลุ่มดารา เซเลบฯทั้งหลาย คือ Instagram
คนไทยใช้งาน Instagram เติบโตมาก ถึง 546% นับว่าเป็น social media ที่เติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ
     ที่ผ่านมา คนไทยโพสภาพขึ้น Iมnstagram มากถึง 36,443,398 ภาพ  โดยเป็นวีดีโอ มากถึง 1,370,272 วีดีโอ ที่เหลือเป็นรูปภาพกว่า 96.24%
เขาบอกว่าสาเหตุคนไทยโพสต์ภาพขึ้น Instagram มากขึ้น เพราะว่านิยมถ่าย Selfie มากขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2013 แฃะช่วงเวลาที่คนทั่วไปอัพภาพขึ้น Instagram มากสุดคือ 5 ทุ่ม   ,
        ส่วนช่วงเวลาที่เหล่าดาราอัพภาพขึ้น Instagram มากสุดคือ 3 ทุ่ม และกลุ่มที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก อัพช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเช้า
ใครที่ชอบเล่น Instagram  ก้อคงรู้ว่า บรรดาดาราดังทั้งชายหญิง เรียกไลค์ เรียกเรตติ้งได้กระฉูดขนาดไหน แค่โพสเพียงภาพเดียว เพราะทั้งแฟนคลับ ทั้งแอบติดตามอยู่ลับๆ จำนวนมหาศาล
      จนหลายคนหัวใสอาศัยช่องทางส่งข้อมูลสินค้าและบริการของตัวเองเข้าไปแจมในเพจด้วย หวังโฆษณาแบบเรียลไทม์ให้กับกลุ่มคนกลุ่มใหญ่
        และที่สำคัญ...ไม่มีค่าใช้จ่าย
ดาราดังๆทั้งหลาย ตอนนี้เวลาจะโพสรูป โพสวิดีโอลงใน Intagram เลยกลายเป็นรูทีน ที่จะต้องติดแทค #งดฝากร้านนะคะ(ครับ) ปิดท้ายอ์ยู่ร่ำไป
เรื่องพรรค์อย่างนี้ คนไทยเราเก่งครับ เรามองเห็นช่องทางทำมาหากิน แบบไทยๆ โดยที่ฝรั่งมังค่ายังต้อง..งง ว่าหลักสูตรการตลาดแนวนี้มาจากไหน
บอกแล้วครับว่า อย่าดูถูกความคิดสร้างสรรค์ของพี่ไทยเป็นอันขาด เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ ติดแทคห้าม เดี๋ยวก้อมีแนวใหม่ ฝากแปะ ฝากโฆษณา มาให้เห็นอีกแน่ๆ
ดารา เซเลบฯทั้งหลาย ผมว่าอาจจะต้องทำใจ เปลี่ยนจากติดแทค #งดฝากร้านนะคะ กลายเป็น....
#เอาที่สบายใจแระกานนนนนนน!

กุนซือ
P_kiti@hotmail.com

ซุปเปอร์มูน











ช่วงนี้พระจันทร์กำลังมาแรงนะครับ  วันอาทิตย์ที่ผ่านมาบรรดาคนจีนทั้งหลายก็ต่างทำพิธีไหว้พระจันทร์ สืบสานประเพณีของคนแดนมังกรที่สืบทอดกันมายาวนาน
ผมเอง อิน เดอะ เนม ออฟ ลูกครึ่งไทย-จีน ก็ซึมซับประเพณีนี้มาตั้งแต่เด็ก
        ประเพณีไหว้พระจันทร์ของคนจีนเนี่ย เขาให้ผู้หญิงเป็นคนไหว้นะครับ เพราะเขาถือว่าเทพพระจันทร์นั้นเป็นผู้หญิง  ผู้ชายทั้งหลาย...ถอยไป
ตอนเด็กๆผมเป็นขาประจำนั่งเฝ้าอาม่า ทำพิธีไหว้พระจันทร์ทุกปี นั่งดูพระจันทร์ไปตามเรื่อง ตามราว หูก็ฟังอาม่าสวดมนต์เป็นภาษาจีน  ฟังไม่รู้เรื่องก็ต้องนั่งฟังเป็นเพื่อนอาม่า ออกแนวหลานรักอย่างงัย อย่างงั้น แต่จุดประสงค์หลัก  ทั้งบ้านอ่านขาดว่านั่งเป็นเพื่อนอาม่า เพราะขนมไหว้พระจันทร์เป็นหลัก
ปีนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์อาจจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะว่ามีโหรดัง เขาออกมาพูด ออกมาทำนายว่า อิสตรีใดใครที่ร้างคู่ ปีนี้ฤกษ์ดี ยามดี ถือโอกาสไหว้พระจันทร์แล้วอธิฐานขอคู่ จะสมหวัง กระโดดลงมาจากคานได้ทันที
เพราะตัวเลขที่เขาสำรวจประชากรในสยามเมืองยิ้ม ชั่วโมงนี้มีประชากรผู้หญิงมากกว่าผู้ชายกว่า 1 ล้านคน
       ดังนั้นเมื่อดีมานด์กับซัพพลาย ไม่สมดุลกัน ปัญหาคานทองจึงกระหน่ำซ้ำเติมหญิงไทยไม่หยุดยั้ง
แถมชายไทยที่มีน้อยกว่า ยังกลายเป็นชายควงชาย ไปเกือบครึ่ง  ตัวเลขเลยตกฮวบลงไปอีก คานทองเลยกลายเป็นคานเหล็ก
        อิสตรีไทยที่ยังโสดทั้งหลายเลยต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของไหว้พระจันทร์เข้าช่วยเหลือครับ...งานนี้
เสร็จสรรถจากไหว้พระจันทร์วันอาทิตย์ พอก้าวเข้ามาวันจันทร์ ชาวโลกทั้งหลายก็เตรียมตัวรับกับปรากฏการณ์"ซุปเปอร์มูน" ที่พระจันทร์จะเคลื่อนเข้ามาใกล้โลก
         จนมองเห็นในระดับ"หลับตา เหมือนจะเอื้อมถึง"  อะไรทำนองนั้น
ผมเองปั่นต้นฉบับนี้เช้าวันจันทร์ เลยยังอธิบายความงามของกระต่ายในเงาจันทร์ว่าจะสวยงามได้แค่ไหน ได้แต่ดูรูปเก่าๆแล้วจินตาการตามไปก่อน
มาว่ากันเรื่องข้อมูลของซุปเปอร์มูน กันหน่อยครับ ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขาบอกว่าจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงและดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์หาชมยาก
     แต่คราวนี้เมืองไทยโชคร้ายหน่อยนะครับที่ไม่สามารถเห็นปรากฏการณ์จันทรุปราคานี้ได้ เนื่องจากตรงกับช่วงกลางวัน  โดยปรากฏการณ์นี้จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนในแถบอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ มหาสมุทรแอตแลนติก ยุโรป แอฟริกา และด้านตะวันตกของเอเชีย
พอถึงช่วงกลางคืน เราๆท่านๆจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เต็มดวงสุกสว่างใหญ่กว่าปกติ 2-3%  หรือที่เรียกกันว่า "ซูเปอร์มูน(Super moon)"  เพราะดวงจันทร์โคจรมาเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,876 กิโลเมตร
       ส่งผลให้ผู้คนบนโลกจะสามารถมองเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงสีแดงอิฐที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติอีกด้วย
       วกกลับมาดูสถิติ กันหน่อยครับ สำหรับปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลก นับเป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักนะครับ
       ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพียง 5 ครั้ง ได้แก่ ปี พ.ศ. 2453, 2471, 2489, 2507 และ 2525 และ            หากพลาดจากวันที่ 28 ก.ย.นี้ ก็จะเกิดครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2576
ถ้าใครอดดู ก้อต้องรอจนเหงือกบานไปอีก 18 ปีโน่นแหละครับ ถึงจะได้เห็นอีกครั้ง
งานนี้ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...ปูเสื่อรอ
         พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

กุนซือ
p_kiti@hotmail.com



วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คาสิโน กับไทยแลนด์



ยังคงเป็นประเด็นที่พูดคุยกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทย กับไอเดียเปิดบ่อนการพนันเสรี ว่าเมืองไทยควรจะมีบ่อนพนันถูกต้องกับเขาได้หรือยัง เพราะประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศที่ล้อมรอบเมืองไทย ต่างก็มีบ่อนพนันไว้รองรับบรรดานักเสี่ยงโชคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว กัมพูชา หรือว่ามาเลเซีย
ความเห็๋นของผู้คนส่วนใหญ่แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนที่เห็นด้วยก็ส่งไอเดียว่า
         คนไทยเราสุนัขกัดกัดข้างถนน ยังจอดรถลงมาพนัน
         การพนันมันอยู่ในสายเลือดของคนไทยทุกคน ดังนั้นเลิกดัดจริตหันมารับความจริง แล้วเปิดบ่อนไปเถอะ เม็ดเงินการพนันที่คนไทยหอบไปทิ้งยังประเทศเพื่อนบ้าน จะได้กองอยู่ในประเทศ  เข้าทำนองเรือล่มไปหนอง ทองจะไปไหน
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ค้านว่า บ่อนการพนันมีที่ไหน ปัญหาสังคมตามมาทันที ถ้าเรายอมให้มีบ่อนเกิดขึ้นได้ ผู้คนจะมัวเมา เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกเพียบ ยังไม่รวมคดีอาชญากรรมต่างๆที่เป็นผลผวงจากการที่ผีพนันเข้าสิง รวมถึงระบบมาเฟียอาจจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ฯลฯ


ผมเองก็พยายามชั่งใจว่าจะยกธงเชียร์ฝ่ายไหนดี แต่จากการสำรวจของโพลต่างๆ ส่วนใหญ่จะยกมือต่อต้านกันเป็นแถว
การจะเปิดบ่อนในเมืองไทยจะดีหรือไม่  วันนี้ขอหยิบผลงานวิจัยของ ดร.ไสว บุญมา ที่ท่านได้ทำการวิจัย และบ่งบอกถึงผลกระทบที่จะตามมาว่ามีอะไรบ้าง
ดร.ไสว บุญมา ที่เขียนเมื่อปี 2551  มีผลวิจัย ถึงผลกระทบ จากการเปิดบ่อนการพนันเสรี ที่หวังโกยเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า
         เป็นเรื่องโกหก คนในท้องถิ่น และในประเทศ ติดการพนันงอมแงม
ฟันธงไปว่ารัฐบาลที่ต้องการตั้งบ่อนการพนัน มักนำแต่ผลดีมาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายฐานการเก็บภาษี การมีงานทำเพิ่ม หรือการป้องกันเงินพนัน มิให้รั่วไหลไปถิ่นอื่น แต่ไม่มีใครพูด ถึงผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะจากการกระตุ้นให้ ผู้ที่ไม่เคยเล่นการพนันเริ่มเล่น และผู้ที่เล่นอยู่แล้วเล่นมากขึ้น จนถูกผีพนันครอบงำเพราะความสะดวก ..."


ลองหยิบตัวอย่างเช่นเมืองลาส เวกัส ในรัฐเนวาดา เป็นทั้งศูนย์การพนันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐและเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย จึงไม่แปลกที่อาจารย์ของมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติและการวิจัยผลกระทบของการพนันแบบถูกกฎหมาย  เมื่อปี 2544 ศาสตราจารย์วิลเลียม ธอมป์สัน พิมพ์หนังสือออกมาชื่อ Gambling In America: An Encyclopedia Of History, Issues, and Society และเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์หลังจากเขาได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่ง รวมทั้งกรุงวอชิงตัน ซึ่งต้องการตั้งบ่อนการพนันขึ้นมาแข่งกับแหล่งอื่น

                ศาสตราจารย์ธอมป์สันมองว่าความคิดที่จะตั้งบ่อนการพนันขึ้นมาแข่งกับผู้อื่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด ทั้งนี้เพราะบ่อนการพนันจะกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นซึ่งไม่เคยเล่นการพนันมาก่อนเริ่มเล่นการพนัน  นอกจากนั้นคนที่เล่นอยู่แล้วอาจเล่นมากขึ้นจนติด
เนื่องจากผลการวิจัยในตอนนั้นบ่งว่า โดยเฉลี่ยคนอเมริกันจะเสียเงินไปกับการพนันคนละประมาณ 350 ดอลลาร์ต่อปี  แต่ในท้องถิ่นที่มีบ่อนการพนันซึ่งรวมทั้งการมีตู้เสี่ยงโชคจำพวก

หยอดเหรียญด้วย ประชาชนจะเสียเงินเล่นการพนันคนละประมาณ 700 ดอลลาร์  สำหรับในรัฐเนวาดา ซึ่งมีทั้งเมืองลาส เวกัส และตู้เสี่ยงโชคอยู่ทั่วไป ประชาชนเสียเงินเล่นการพนันคนละประมาณ 1,000 ดอลลาร์ต่อปี  การวิจัยของศาสตราจารย์ธอมป์สันพบด้วยว่า ถ้ารายได้ของบ่อนการพนันมาจากชาวต่างถิ่นต่ำกว่า 50% ท้องถิ่นนั้นจะขาดทุน
นอกจากนั้นเขายังเล่าถึงประวัติของบ่อนการพนันซึ่งกรุงวอชิงตันเคยมีในยุคก่อสงครามกลางเมืองเมื่อราว 150 ปีมาแล้วอีกด้วย  บ่อนถูกยกเลิกไปเพราะปัญหาหลายอย่าง เช่น สมาชิกรัฐสภาเป็นหนี้การพนันกันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของเจ้าของบ่อน  บางคนจะ “โชคดี” ขึ้นมาโดยบังเอิญหากเจ้าของบ่อนต้องการให้พวกเขาทำอะไรให้


ผู้ที่เคยดูภาพยนตร์อมตะเรื่อง “คาซาบลังกา” อาจจำได้ว่าเจ้าของบ่อนทำอย่างไรเพื่อช่วยให้ผู้เสียเงินจนหมดตัวได้เงินคืน  ศาสตราจารย์ธอมป์สันชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลที่ต้องการตั้งบ่อนการพนันมักนำแต่ผลดีมาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายฐานการเก็บภาษี การมีงานทำเพิ่ม หรือการป้องกันเงินพนันมิให้รั่วไหลไปถิ่นอื่น  แต่ไม่มีใครพูดถึงผลกระทบทางลบ
        โดยเฉพาะจากการกระตุ้นให้ผู้ที่ไม่เคยเล่นการพนันเริ่มเล่นและผู้ที่เล่นอยู่แล้วเล่นมากขึ้นจนถูกผีพนันครอบงำเพราะความสะดวก
นอกจากนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องผู้มีอิทธิพลมืด หรือมาเฟีย มักพยายามเข้าไปควบคุมบ่อนการพนันแบบถูกกฎหมายเพื่อใช้เป็นช่องทางหากินและฟอกเงินจากกิจการผิดกฎหมายอื่น ๆ
ข้อมูลเหล่านี้ชี้บ่งว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นในเมืองไทยถ้ารัฐบาลอนุญาตให้ตั้งบ่อนการพนัน  มีรายงานข่าวเสมอว่านักการเมืองไทยหลายคนชอบเล่นการพนัน บางคนฉ้อฉลและเจ้าของบ่อนการพนันเถื่อนมักเป็นผู้มีอิทธิพลมืด  ในสภาพเช่นนี้เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมาย ผลที่ออกมาคงไม่ต่างกับการมีบ่อนการพนันในกรุงวอชิงตันในสมัยก่อน
เกี่ยวกับผลการวิจัยที่ว่าบ่อนถูกกฎหมายจะกระตุ้นให้คนเล่นการพนัน คนไทยน่าจะเล่นเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าชาวอเมริกันในรัฐเนวาดาเสียอีกเพราะโดยทั่วไปคนไทยชอบเล่นการพนันอยู่แล้ว  จะเห็นว่าหวยออกมาเท่าไรก็ขายหมดแม้จะขายเกินราคาก็ตาม  นอกจากนั้นหวยใต้ดินยังแพร่หลาย  การพนันแทรกซึมเข้าไปในทุกวงการ กระทั่งในกีฬาของผู้ที่มักมีทั้งเงินและความรู้ เช่น กอล์ฟ


สำหรับผลกระทบทางลบ เงินที่จะสูญไปกับการเล่นการพนันเพิ่มขึ้นนั้นมีความสลับซับซ้อนค่อนข้างสูง  มันขึ้นอยู่กับว่าเงินนั้นมาจากใครและพวกเขาอยู่ในสภาพเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร  ถ้าเงินนั้นมาจากเงินออมของผู้ที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้ ผลกระทบอาจไม่ร้ายแรงสำหรับครอบครัวและตัวของพวกเขาเองนัก
แต่ถ้าเงินนั้นมาจากผู้ที่ไม่ค่อยมีเงินอยู่แล้ว ผลกระทบจะร้ายแรงมาก  เนื่องจากข้อมูลบ่งว่าผู้มีรายได้น้อยเล่นหวยกันอย่างแพร่หลาย จึงอาจคาดเดาได้ว่าเงินที่สูญไปกับการพนันเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะไม่ใช่เงินออมของผู้ที่มีเงิน  หากจะเป็นเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เงินที่สูญไปมีผลกระทบหลายอย่าง เช่น ธุรกิจที่เคยขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้สูญเงินนั้นจะขายได้น้อยลง  การขายได้น้อยลงนี้จะมีปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปถึงธุรกิจอื่น ๆ รวมทั้งการจ้างงานและฐานของการเก็บภาษีของรัฐด้วย
        แต่นั่นอาจยังไม่ร้ายแรงเท่ากับในกรณีที่เงินนั้นมาจากเงินสำหรับซื้ออาหารและนมให้เด็กเล็กหรือเพื่อการศึกษา  ถ้าเป็นเงินจำพวกนั้น ผลกระทบของมันจะเป็นด้านคุณภาพของคนไทยในระยะยาว  นั่นหมายความว่าคุณภาพของคนไทยนับวันจะล้าหลังคนชาติอื่นซึ่งมีความตื่นตัวสูงต่อความเข้มข้นของการแข่งขันทางมันสมองในยุคโลกาภิวัตน์


สำหรับข้อดีที่มักอ้างถึง เช่น การสร้างแรงจูงใจมิให้เงินรั่วไหลไปยังแหล่งการพนันนอกประเทศนั้นเป็นการอ้างที่ไม่มีหลักฐานจากการวิจัย  มันจึงเป็นการคาดเดาเพื่อเข้าข้างตัวเอง  ส่วนเรื่องการสร้างงานและการขยายฐานทางภาษีก็ต้องนำมาหักลบกับผลกระทบจากการที่ธุรกิจอื่นขายได้น้อยลงดังที่กล่าวถึง  เมื่อหักลบกันแล้ว ผลที่ออกมาอาจเป็นบวก เป็นศูนย์ หรือเป็นลบก็ได้
         ประเด็นนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานจากการวิจัยเช่นกัน
ถึงแม้มันจะเป็นบวกก็ใช่ว่าจะน่ายินดีเพราะเรื่องนี้ไม่ต่างกับการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ จีดีพี ชนิดลวงโลกด้วยการผลิตและสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้จีดีพีขยายตัว  เมื่อผู้สูบเป็นมะเร็งและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จีดีพีก็เพิ่มขึ้นอีก  ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้มิได้บ่งชี้ถึงการกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้น  ตรงข้ามมันเป็นความทุกข์ทรมานและการลดมาตรฐานของการดำเนินชีวิต
เช่นเดียวกับจีดีพีที่จะเพิ่มขึ้นจากการพนัน  นอกจากนั้นการพนันยังมีผลกระทบทางลบด้านสังคมซึ่งประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้อีกด้วย  ฉะนั้นรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาที่ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งจะไม่คิดนอกคอกและทำนอกคัมภีร์ถึงกับอนุญาตให้สร้างบ่อนการพนันขึ้นมามอมเมาประชาชน
อ่านผลวิจัยชิ้นนี้เสร็จ ผมฟันธงว่าบ่อนพนันเสรีค่อนข้างจะคลอดยาก เพราะดูแล้วเสียงเชียร์ยังคงเบาบางกว่าเสียงด่า..ครับผม

กุนซือ

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มองต่างมุมกับนกเหล็กโลว์คอสต์





          เดี๋ยวนี้การเดินทางโดยเครื่องบินกลายเป็นเรื่องปรกติสำหรับคนไทย ถ้าเทียบจากสมัยก่อน ที่ผู้โดยสารที่ใช้บริการนกเหล็กมักจะเป็นผู้มีอันจะกินอยู่ซักหน่อย เพราะราคาค่อนข้างแพง แต่แลกด้วยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง
จำได้ว่าตอนเป็นวัยรุ่น พอมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินไปกรุงเทพครั้งแรก กลับมาโม้ให้เพื่อนๆฟังเป็นคุ้งเป็นแคว ยืดอก ภูมิใจ เพื่อนฝูงทั้งหลายก็อิจฉา อยากมีโอกาสได้เหินฟ้ากับเค้ามั้ง
         แต่พอมาถึงตอนนี้ สนามบินแต่ละแห่งเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารทั้งไทย-เทศ เพราะมีสายการบินเปิดให้บริการมากมาย มีหลากหลายราคาให้เลือกตามความหนาของกระเป๋าเงิน
สิ่งหนึ่งที่เข้ามาเขย่าพฤติกรรมการเดินทางของคนไทยนั่นคือ โลว์คอสต์ แอร์ไลน์ ทั้งหลาย  และตอนนี้กลายเป็นตลาดใหญ่ ที่เม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล เนื่องจากมีผู้นิยมใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ              สายการบินต่างๆ ก็เลยอัดแคมเปญ ลดราคากระชากใจหวังชิงส่วนแบ่งตลาดกันยกใหญ่ จนบางครั้งเวลาจองตั๋วเครื่องบินโลว์คอสต์บางเส้นทาง หลายคนอาจจะขยี้ตา นึกว่าฝันไป เพราะราคาตั๋วถูกกว่านั่งรถทัวร์เสียอีก
สายการบินราคาประหยัด หรือสายการบินต้นทุนต่ำ เป็นกลยุทธการดำเนินธุรกิจด้านการบิน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายของการบิน เช่น เครื่องแบบพนักงาน อาหารบริการบนเครื่องบิน ทำให้สามารถขายตั๋วโดยสารในราคาประหยัดได้ อีกทั้งมีการขายตั๋วล่วงหน้าผ่านระบบ อินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถวางแผนจัดการเที่ยวบินได้ง่าย ลดความเสี่ยงด้านการโดยสารไม่เต็มลำ



ลองมาดูต้นกำเนิดสายการบินราคาประหยัดนั้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยสายการบิน SouthWest Airlines ในช่วงปี2513 จากนั้นรูปแบบการดำเนินธุรกิจก็ได้ถูกถ่ายทอดไปยังยุโรป  แล้วขยายไปทั่วโลก
เขาไปออกแบบสำรวจถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกที่มีต่อสายการบินต้นทุนต่ำ โดยผลสำรวจส่วนหนึ่งพบว่า นักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับสิทธิ์ในการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องมากกว่าสิทธิพิเศษในการใช้ห้องน้ำ
      ดัชนีสายการบินต้นทุนต่ำประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปี 2015 ของ Expedia ได้สำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวราว 3,200 คนในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และไต้หวัน โดยถือเป็นการต่อยอดจากดัชนีสายการบินต้นทุนต่ำประจำภูมิภาคยุโรปตะวันตกปี 2014 ซึ่งศึกษาตัวเลือกของนักท่องเที่ยวระหว่างค่าโดยสารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
การสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมทัศนคติของนักท่องเที่ยวที่มีต่อบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกของสายการบินต้นทุนต่ำเทียบกับสายการบินทั่วไป รวมถึงสิ่งที่นักท่องเที่ยวยอมสละเพื่อแลกกับการลดค่าโดยสาร พร้อมกับเผยว่าผู้โดยสารนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้ทำอะไร สำหรับปัจจัยที่นักท่องเที่ยวใช้พิจารณาเลือกสายการบินต้นทุนต่ำนั้น
ผลสำรวจพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกสายการบินมากที่สุดคือ
         ประวัติความปลอดภัยของสายการบิน
เจาะลึกลงไปอีกหน่อย พบว่านักท่องเที่ยวเพศชายมีแนวโน้มมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อยในการสละสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างหมอนและผ้าห่ม ฟรีค่าบริการฝากสัมภาระลงใต้ท้องเครื่อง และสิทธิพิเศษในการใช้ห้องน้ำ เพื่อแลกกับการลดค่าโดยสาร และนอกเหนือจากปัจจัยเรื่องเพศแล้วยังมีปัจจัยเรื่องอายุด้วย


โดยผู้โดยสารอายุน้อย (ต่ำกว่า 35 ปี) เชื่อว่าการสละพื้นที่วางขาและสิทธิ์ในการนำกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด
ส่วนผู้โดยสารที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปเลือกที่จะสละบริการอาหารแบบฟูลมีลเพื่อประหยัดค่าตั๋วนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกเกินครึ่งหนึ่ง (56%) เต็มใจสละความบันเทิงบนเครื่องบินเพื่อประหยัดค่าตั๋ว ตามมาด้วยบริการอาหารแบบฟูลมีล (49%) หมอนและผ้าห่ม (48%) ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เต็มใจสละน้อยที่สุดได้แก่ พื้นที่วางขา สิทธิพิเศษในการใช้ห้องน้ำ และสิทธิ์ในการนำกระเป๋าขึ้นเครื่อง


ส่วนตัวผมเอง เวลาเดินทางจะออกแนวซัมเหมา เสื้อยืด กางเกงยีนส์ สะพายเป้ กระโดดขึ้นเครื่อง จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงเหมือนเป็นคู่สร้าง คู่สมกับโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ ทั้งหลาย
         แต่วิธีการเลือกซื้อว่าจะเลือกสายการบินไหนในการเดินทาง เลยไม่ต้อยุ่งยากมากนัก เพราะไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องการโหลดกระเป๋า หรือบริการเสริมต่างๆ
วิธีตัดสินใจที่ใช้มาตลอดคือ เปิดเว็บดูทุกโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ เส้นทางเดียวกัน ถ้าสายการบินไหน ณ.ช่วงเวลานั้นเคาะราคาต่ำสุด....
         รูดบัตรไปเลย!
กุนซือ
                      p_kiti@hotmail.com
   

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรฮีนจา




ช่วงนี้โลกออนไลน์กำลังระอุด้วยเรื่องของโรฮีนจา ประเด็นหลักที่ถกกันคือ ไทยเราสมควรทำอย่างไรเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ความคิดแตกออกเป็นสองมุม ทั้งมุมในเรื่องมนุษยธรรม กับอีกมุมที่ไม่เห็นด้วยเพราะถือว่าอย่าโยนตราบาปนี้ให้ไทยและหากเราตั้งศูนย์อพยพขึ้น ปัญหาในภายภาคหน้าเกี่ยวกับความมั่นคงและปัญหาชนกลุ่มน้อยอาจจะตามมาหลอกหลอนไทยได้ในอนาคต
พอดีไปเจอบทความของคุณวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ในเว็บไซต์ของสำนักข่าวอิศรา ซึ่งบอกเล่าเก้าสิบ ปัญหาโรฮีนจา ที่หมักหมมมานาน ได้ค่อนข้างชัดเจนถึง.."ที่มา ที่ไป"
       และเพื่อที่จะตอบคำถามของผู้คนส่วนใหญ่ว่า...ทำไม ทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮีนจาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะโรฮีนจาที่มาจากรัฐยะไข่ในพม่า
คุณวันชัย เขียนท้าวความนับถอยหลับไปในอดีตตั้งแต่สมัยพม่าประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว โรฮีนจาไม่ใช่คนพม่า แม้พม่าจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า         ที่รัฐบาลพม่ายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติพม่า แต่พม่าไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮีนจาเป็นหนึ่งในนั้น ในกฎหมายของพม่า ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับการนับรวมเป็นชนเผ่าในพม่า ไม่ใช่พลเมือง และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ อันสบเนื่องมากจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ความไม่พอใจของพม่าที่มีต่อชาวโรฮีนจา มีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษ รวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดพม่าตอนล่างรวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์ จับกษัตริย์พม่าและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนคีรีในอินเดียจนตาย พร้อมทั้งยึดเอาทับทิม เพชรพลอยและสิ่งของมีค่า (ที่ราชวงศ์กษัตริย์ของพม่าสะสมไว้มากมายหลายหีบ) ไปจากพม่าเกือบหมด และอังกฤษยึดพม่าไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ
        ในการรบกับพม่า นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮีนจาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับพม่า และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่า ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาทำมาหากินและค้าขายในพม่าได้สะดวก พวกโรฮีนจาที่มาช่วยรบก็ลงหลักปักฐานในพม่าและอีกจำนวนมากก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม
จนปัจจุบันมีคนโรฮิงยาจำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในพม่า ซึ่งพม่ายังถือว่าพวกโรฮิงยาไม่ใช่พม่าเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮีนจารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในพม่า แต่พม่าก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนพม่าได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากพม่าไปแล้วจะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด
แม้จะถูกกดดันจากพม่า แต่สถานการณ์ในบังคลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮีนจาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง        
      ถึงจะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันและถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม
      มีโรฮีนจาจำนวนมากที่หนีไปบังคลาเทศ บังคลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแค้มป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดนซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าพม่า พม่าก็ไม่ยอมให้กลับเช้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากพม่า
ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮีนจาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของพม่าอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียดนาม หรือพวกกะเหรียง หรือชนกลุ่มน้อยอื่น ที่เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว
       แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้และมีความรู้ไป ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้
      และผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่าต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้
       ด้าน UNHCR หรือข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวรไปไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร 
        ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตายหรือยอมให้กลายเป็นพลเมือง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮีนจามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหารและซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ
        เพราะไม่มีใครที่กล้ารับภาระที่ไม่รู้จบในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่
ประเทศทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากมากนัก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรือผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากอาฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง
ออสเตรเลียที่มักเน้นด้านมนุษยธรรมสูง ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรื่อกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปกักกันไว้ในเกาะคริสต์มาส
         ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยู่ในดินแดนของตน และสร้างค่ายอพยพให้คนเหล่านี้ไว้ และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย
ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูงและชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่กล้ามีปากเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะหากออกหน้ามาจะถูกสวนทันทีว่า ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที


        

          คุณจอห์น แครี่ รมว กระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมากดดันไทยแถมโทรกริ๊งกร๊างในนามตำรวจโลกให้ไทยเปิดศูนย์พักพิง แล้วก้อ..บลา บลา บลา อ้างเรื่องมนุษยธรรมเป็นธงนำ ถ้าวันไหนเรางอนทนไม่ไหว โทรกลับไปบอกคุณโอบามา เจ้านายใหญ่ของคุณจอห์นว่า ไทยเห็นใจ แต่ไทยไม่มีตังค์ แถมมีปัญหาเรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
         เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวไทยจะจัดเหมาลำการบินไทย แอร์เอเซีย นกแอร์ ฯลฯ เหินฟ้าขนชาวโรฮีนจาไปลงที่เกาะฮาวายแระกัน เพราะรู้ว่า พี่มะกันห่วงใยเรื่องมนุษยธรรมเป็นอย่างมาก ก้อไม่รู้ว่าคุณจอห์นจะไปกระซิบลูกพี่โอบามา ว่าจะให้ไปลงที่เกาะไหน เพราะมีตั้งหลายเกาะ เจียดมาให้ เพือมนุษยธรรมซักเกาะ คงไม่เกินกำลังพญาอินทรีอย่างมะริกันชนหรอก
       กลัวอย่างเดียว โทรไปหาแล้วจะเจอ...
        "ไม่มีสัญญานตอบรับ จากหมายเลขที่ท่านเรียกกกกกก....."
         หันหน้ามาดูทาง UN ก็ไม่มีศักยภาพพอ เพราะมองเห็นแล้วว่าหากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที UN ก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่มากแล้ว จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องรอประเทศผู้บริจาคซึ่งมีปัญหามากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื้อตัวเอง และจะไปไม่รอดในที่สุด
นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศพม่าให้ลดการกดดันโรฮีนจา และให้รับพวกโรฮีนจากลับ หากพม่ายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮีนจา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่ประเทศในแถบนี้ไม่กล้ารับโรฮีนจาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮีนจาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคนพร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพม่าที่ต้องการไล่ชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศอยู่แล้ว
ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบนี้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว้และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น
กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้ง คนพม่า คนโรฮีนจา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซียอย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด
         เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปรามและการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต และเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้มาจากการทุจริต แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน
กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกด้านมนุษยธรรมอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮีนจาลอยคออยู่ แต่ไม่ประเทศไหนกล้าที่จะรับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถเจรจากับพม่าให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตนได้
วิเคราะห์แล้วก็เหนื่อยแทนครับ กับรัฐบาลคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาที่ยากมาก เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป็นปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ
        อ่านบทความชิ้นนี้เสร็จ ก็เชิญเลือกฝั่ง ถือข้างกันเองตามสะดวกครับ

กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมืองจักรยาน



เรื่องจักรยาน ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในเมืองไทย หลังมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับจักรยานบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสรณรงค์ให้คนใช้รถ ใช้ถนน โดยเฉพาะบรรดารถยนต์ทั้งหลาย มีน้ำใจในการใช้เส้นทางร่วมกัน
โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่กำลังตั้งโจทย์ว่า จะทำให้กลายเป็นเมืองจักรยาน ผมเองยกมือเชียร์เต็มที่ เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองน่ารัก น่าอยู่ ถ้าเราผลักดันให้บ้านเราเป็นเมืองจักรยานได้ รับรองว่าเสน่ห์ของเมืองเชียงใหม่จะพุ่งติดลมบนทันที
แต่อาจจะต้องใช้เวลาเพราะจะปรับเปลี่ยนแบบทันที ทันใด อาจจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ซักหน่อย
หลังข่าวนักศึกษาขับรถชนจักยาน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จนทำให้หลายฝ่ายต้องออกมารณรงค์กันอย่างครึกโครม เจ้าหน้าที่จัดแถวออกตรวจสถานบริการต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือว่า"เมาไม่ขับ" โดยมีอุทาหรณ์จากเรื่องนี้เป็นแบบอย่าง
เรื่องนี้ผมเองมองว่าเป็นเหมือนเหรียญสองด้านครับ ผมเองก็ปั่นจักรยานกับเค้าเหมือนกัน แต่ปั่นแถวซอย กับย่านถนนที่อยู่แถวบ้าน ส่วนใหญ่ก็ปั่นคนเดียว เช้าๆก็เข็นจักรยานออกไปปั่น ได้ประมาณ 20 กิโลเมตร พอได้เหงื่อ ร่างกายเรื่มหอบแฮ่กๆ ก็ปั่นกลับบ้าน..ประมาณนั้น
ไม่ได้ปั่นแบบอาชีพ เหมือนน้องๆนักข่าวที่อยู่ออฟฟิต ที่ออกแนวปั่นเป็นชมรม ปั่นเป็นกลุ่ม ดูแล้วได้ทั้งความสุขและได้ทั้งสุขภาพ เคยอยากจะไปร่วมแจมกับน้องๆเค้าเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง เนื่องจากเป็นนักปั่นแถวสมัครเล่น ความเร็วประมาณแมวย่อง
        ซึ่งอาจจะเป็นภาระของน้องๆทั้งหลายที่ต้อง"ปั่นไป รอไป" อาจจะเสียสุขภาพจิต เลยปลีกวิเวก ปั่นคนเดียวดีกว่า
เผอิญบ้านผมอยู่ในซอย ซึ่งใกล้ๆกับตรงจุดเกิดเหตุที่น้องนักศึกษาไปชนกลุ่มจักรยานนั่นแหละครับ เนื่องจากซอยค่อนข้างลึกระยะทางหลายกิโลเมตร เพราะเชื่อมระหว่างถนนสันกำแพงกับดอยสะเก็ด
        จึงเหมาะด้วยประการทั้งปวงที่จะเป็นที่ปั่นจักรยาน เนื่องจากไม่มีรถรามากนัก รถใหญ่รถบรรทุก ก็ไม่มี แถมวิวสองข้างทางก็ออกแนวธรรมชาติ เรียกว่าปัจจัยเอื้อหมดสำหรับนักปั่นทั้งหลาย
ครั้งหนึ่งผมขับรถออกจากบ้านตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์ยังไม่ออกมา"เซย์ ไฮ"กับผู้คน รอบข้างสองข้างทางจึงค่อนข้างมืด ขับมาเรื่อยๆ ก็ต้องเบรคตัวโก่งครับ เพราะข้างหน้าคือจักรยาน ที่ปั่นมาออกกำลังกาย
ในซอยมืดๆที่ไม่มีแสงไฟ เวลาปั่นจักรยานตอนช่วงนี้ ผู้ปั่นจะต้องรู้ครับว่า มีความเสี่ยงอยู่มาก เนื่องจากบรรดารถยนต์อาจจะมองไม่เห็น บางคันไม่มีไฟส่องสว่างที่ด้านหลัง มีแต่แผ่นสะท้อนแสง ซึ่งค่อนข้างเก่า ประสิทธิ์ภาพ ก็ด้อยตามไปด้วย
        แถมไฟหน้าก็แสงสว่างวับๆแวมๆ และส่วนใหญ่นักปั่นทั้งหลายมักจะกดไฟหน้ารถให้ฉายลงต่ำ เพื่อจะได้มองเห็นเส้นทาง
ทีนี้จะมาด่าว่ารถยนต์ฝ่ายเดียวก็เห็นจะไม่ถูกครับ ผมเองเกือบชนอย่างจัง เพราะมองไม่เห็นจริงๆ โชคดีไม่มีรถสวนทางมา ก็เลยเปิดไฟสูง พอเปิดปุ๊บก็ต้องอุทานเสียงหลง หักพวงมาลัยหลบทันที ไม่งั้นกวาดจักรยานลงข้างทางแน่
         คือเมาหรือไม่เมา ถ้าเจอแบบนี้ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ทุกครั้งครับ
หลังจากใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ มาได้ซักแปร๊บบบ ขับมาอีกหน่อย เจอเข้าอีกเคส  คราวนี้เป็นจักรยานที่สวนทางมาครับ ยอมรับว่าเกือบมองไม่เห็น เพราะไฟหน้า นักปั่นก็กดลงส่องกับพื้น
         ถ้าไม่เปิดไฟสูงเนี่ย ก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน เนื่องจากถนนในซอยเป็นสองเลนค่อนข้างแคบ
เรื่องนี้ เวลาเรารณรงค์ เราต้องร่วมด้วยช่วยกันครับทั้งสองฝ่าย
ตามสโลแกนแหละครับ"รถเป็นของเรา แต่ถนน..ไม่ใช่"
         ดังนั้นเราต้องจับมือกันแก้ไข ไม่ให้เกิดเรื่องร้ายตามมาอีก เหมือนกับตัวอย่างที่ผ่านมา
รถจักรยานเอง ผมเองก็เข้าใจนะครับ ช่วงนี้อากาศมันร้อน ก็อยากจะร่นระยะเวลาปั่นเช้าขึ้นมาอีกหน่อย บางคนตีสี่ ตีห้า ก็ตื่นออกมาปั่นกันแล้ว ทีนี้ เราก็ต้องเห็นหัวอก ใจเค้า ใจเรา แต่ละคนก็คงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุแหละครับ
ถ้าอยากจะปั่นตอนเช้าๆ เวลาที่แสงว่างตามท้องถนนยังไม่มี ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับส่องสว่างให้พร้อม ไฟข้างหลังเป็นไฟกระพริบ แจ้งให้รถคันหลังทราบว่า ข้างหน้าเป็นจักรยาน
         ไฟหน้า ก็ต้องหาซื้อรุ่นที่มีแสงไฟพอเพียงที่จะทำงานได้ และรถสวนผ่านมาได้เห็น
เสื้อผ้าทั้งหลาย ก็ควรจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีสะท้อนแสง หรือซื้อเสื้อกั๊กสะท้อนแสงมาใส่เลย รับรองว่าจะช่วยได้อีกอักโข เพราะมองเห็นได้แต่ไกล


บางทีกระแสจักรยานในช่วงนี้อาจจะแรงซักหน่อย ล่าสุดผมเห็นภาพ มีนักปั่นจักรยานสามคน แต่งชุดปั่นจักรยานเต็มยศ จอดจักยานแล้วไปนอนกลางถนนชูป้ายว่า"หยุดฆ่านักปั่น" เห็นแล้วก็รู้สึกไม่เข้าท่า เข้าทาง
อยากกระซิบบอกน้องๆเขาเหมือนกันว่า"บางทีอะไรที่มันเยอะไป มันก้อดู..น่าเกลียด"
จากที่เคยอยู่ฟากที่ทุกคนเห็นใจ เข้าใจ และกำลังร่วมด้วยช่วยกัน ให้คนไทยที่ใช้รถ ใช้ถนน ให้เกียรติบรรดารถเล็กทั้งหลายโดยเฉพาะรถจักรยาน ว่าเป็นเพื่อนร่วมถนนด้วยกัน
       น้องๆมาแอ็คชั่นเกรียนๆแบบนี้ ระวังจะโดนกระแสโลกออนไลน์ตีกลับ งานนี้บอกได้เลยครับว่า..ได้ไม่คุ้มเสียครับ
สังคมจะอยู่ได้ ถ้าเราหยุดประนาม แล้วหาทางออกร่วมกัน
ปิดท้ายด้วยความฝัน  ก้อได้แต่หวังว่าซักวัน จะตะโกนบอกเพื่อนๆได้เต็มปากว่า
"เมืองช้านนนน..เป็นเมืองจักรยาน"



กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ญี่ปุ่นเข้าคิว




ชั่วโมงนี้ประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวไทยพาเหรดกันเข้าไปท่องเที่ยวมากที่สุด เห็นจะไม่มีที่ไหนเกินแดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดไฟเขียวให้คนไทยเข้าไปเที่ยวได้แบบไม่ต้องขอวีซ่า
กระแสสะพายเป้ โดดขึ้นเครื่องบินตระเวณแดนซามูไร ก็ฮอตฮิตขึ้นมาทันที ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นตอนนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
งานนี้ตรงตามวัตถุประสงค์ของพี่ยุ่นเค้าครับ เพราะหลังจากเจอภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง เค้าก็ต้องเริ่มมองหาหางแก้ไขวิกฤติทางด้านการเงิน รายได้อย่างหนึ่งที่ไหลมาเป็นกอบเป็นกำ คงจะไม่มีอะไรมาง่ายและเร็วกว่ารายได้จากการท่องเที่ยว
พี่ยุ่นคงเหลียวซ้าย มองขวามานาน แล้วมาสะดุดตรงนักท่องเที่ยวไทย ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนระดับโลกว่า ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่เป็น"เล็กดี รสโต"
นักท่องเที่ยวไทยเหยียบไปที่ไหน รับรองว่า"ช๊อปปิ้งกระจายยยย.."
ซื้อแบบไม่ลังเล ซื้อแบบไม่งอแง เห็นปุ๊บซื้อปั๊บ กลับมาถึงโรงแรมบางทียังแปลกใจว่า"ตรูซื้อมาทำไม" อะไรทำนองนั้น
การบินไทย สายการบินแห่งชาติ ยังต้องใช้เครื่องบิน A380 เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้มาบิน เพื่อรองรับกับปริมาณนักเที่ยวชาวไทยทั้งหลายจะได้ไปสัมผัสกับแดนซากุระ
มีเรื่องขำๆที่เล่าต่อกันมาว่า ที่สนามบินคันไซ ทางสนามบินจัดให้เครื่องของการบินไทยได้จอดงวงสุดท้ายมาตลอด เวลาเดินในเทอร์มินอล ผู้โดยสารไทยก็ต้องเดินไกลกว่าสายการบินอื่นเค้า
ทีนี้พอคนไทยแห่เข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นมากๆเข้า บรรดาทัวร์ทั้งหลายก็ส่งเสียงไปที่สนามบิน ขอให้เปลี่ยนเครื่องการบินไทยมาจอดงวงใกล้ๆหน่อยได้ป่าว นักท่องเที่ยวจะได้สบายไม่ต้องเดินไกล  สนามบินคันไซก็ใจดี"โอเค้..จัดไป"


พอการบินไทยมาจอดใกล้ๆ ลงเครื่องปุ๊บ เดินไปเอากระเป๋าได้ใกล้ๆลูกทัวร์ทั้งหลายก็สุขใจ  แต่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็มีเสียงโวยวายไปทางสนามบินคันไซ ให้ย้ายการบินไทยกลับมางวงสุดท้ายเหมือนเดิม
คนร้องเรียนทั้งหลายไม่ใช่ใครที่ไหน บรรดาร้านค้าที่อยู่ในสนามบินนั่นเอง เพราะตลอดทางเดินจะมีร้านค้าต่างๆตั้งดักให้ผู้โดยสารช๊อปปิ๊ง พอคนไทยจอดงวงแรก ลงปุ๊ปไปเอากระเป๋าได้เลย ร้านค้าทั้งหลายก็ยอดขายตกฮวบ
ชาติอื่นไม่เป็นไร แต่ขอชาติไทยชาติเดียว ที่ต้องให้เดินไกล ผ่านร้านค้าต่างๆ รับรองว่าเงินเยนสะพัดทุกร้าน
สมศักดิ์ศรีฉายา"ไทยช๊อปแชมป์"ที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
อย่างหนึ่งที่เราจะเห็นจนชินตาเวลาไปญี่ปุ่นคือ การเข้าคิวครับ ไปทางไหนมีแต่คนเข้าคิว เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่แย่งกัน ไม่มีเบ่ง ร้านอาหารเล็กๆคนก็ต่อคิวกันแถวยาวเหยียด เป็นภาพที่น่าดู ผมเองยังคิดเลยว่า ถ้าเป็นเมืองไทยร้านไหนมีคนต่อคิวเป็นระเบียบแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยๆคนไทยก็ต้องคิดว่า "ร้านนี้สงสัยมีเมนูทีเด็ด คนถึงแห่กันมาเข้าคิวขนาดนี้" แต่เผอิญญี่ปุ่นประชากรเยอะ 127 ล้านคน ประมาณสองเท่าของบ้านเรา
ดังนั้นภาวะแย่งกันอยู่ แย่งกันกินเลยเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ลองหลับตาว่า ถ้าคนญี่ปุ่นไม่มีวินัย เวลาเลิกงาน ผู้คนไหลออกมาจากตึกเหมือนกองทัพมด เดินเบียดกันไปซื้อข้าวเย็นกัน แย่งกันซื้อ เพื่อจะรีบกลับบ้าน ผมว่ารับรองมีชกต่อย เหยียบกันตายแน่
ผมเคยไปเดินเล่นแถวย่ายช๊อปปิ้งนัมบะ เมืองโอซากา เห็นภาพถนนยาวเหยียด ผู้คนเดินกันแน่นทั้งถนน แน่นแค่ไหน ประมาณว่าถ้ายืนเฉยๆเนี่ย ร่างกายอาจจะเคลื่อนไหวเดินหน้าไปได้เพราะว่าฝูงชนพาไป
เริ่มเข้าใจชีวิตปลากระป๋องตราสามแม่ครัว ตั้งแต่บัดนั้นเป้นต้นมา


ช่วงหลังๆเราๆท่านๆ ชอบด่านักท่องเที่ยวจีนว่า เวลามาเที่ยวเมืองไทยแล้วไร้วินัย สร้างความวุ่นวายปั่นป่วนไปทั่ว  เวลาเช่ารถมาขับ อยากจะเลี้ยวตอนไหนก็เลี้ยว ถือว่าเป็นการสร้างสีสรรให้กับท้องถนนในเมืองไทย ให้คนไทยตื่นตัวอยู่เสมอ
เวลาเข้าร้านอาหารไหนก็ส่งเสียงดังไม่เกรงใจคนอื่น แถมยังเลอะเทอะเสริมเข้ามาอีก
เรื่องนี้ก็ต้องเข้าใจว่า ประเทศเค้าประชากรเยอะ ถึง..เยอะมากกกก
แถมประเทศใหญ่ พื้นที่อาณาเขตก็กว้างใหญ่ไพศาล วัฒนธรรมแต่ละมณฑล ก็แตกต่างกัน แถมลักษณะของคนประเทศเขาก็ออกจะแนว"จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง"
ดังนั้นก็เลยต้องส่งเสียงดังบ้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่า...ซินเซีย
เหมือนคนบ้านเราไปเที่ยวญี่ปุ่นนั่นแหละครับ บางทีเราก็ทำผิดแบบไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมของเขามาก่อน ยิ่งตอนนี้คนไทยแห่กันไปญุี่ปุ่น
เหมือนเป็น"เบาหวานเพราะกินอิชิตัน แล้วเสี่ยตัน..พาไปเที่ยวปลอบใจ"
คือดูทรงแล้วเหมือนไปฟรี...เต็มทุกไฟล์ท  ย่านช๊อปปิ้งตามเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่น ถ้าคุณไปเดินแล้วไม่ได้ยินเสียงภาษาไทย ผมว่าคุณอาจจะไปผิดประเทศ
ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บางครั้งนักท่องเที่ยวไทยเรายังคุยโทรศัพท์มือถือในรถไฟใต้ดินญี่ปุ่น ซึ่งเค้าจะถือว่าเสียมารยาท เวลาเดินขึ้นบันไดเลื่อนเราก็ยืนกันเต็มทั้งสองด้าน ทั้งที่เราต้องยืนชิดติดด้านขวา เพื่อด้านซ้ายจะต้องเว้นไว้ ให้คนที่รีบเร่ง


เราชอบซื้ออาหารแล้วเดินไป กินไป ซึ่งคนของเค้าจะไม่ทำ เค้าจะยืนกินให้เสร็จแล้วค่อยเดิน คนไทยบางคนเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นเค้าใส่ชุดกิโมโน ก้อวิ่งโร่เข้าไปถ่ายคู่กับเค้าทันที โดยไม่มีถามเขาก่อนว่าเขาจะอนุญาตให้ถ่ายคู่ไหม  ถือว่าผิดมารยาทมากฯลฯ
เรื่องนี้ก็ต้องเรีนรู้กันไป ที่สำคัญอย่าเพิ่งด่าพี่จีนมากนัก
เดี๋ยวจะโดนพี่จีนย้อนเกล็ดเอามั้งว่า"เออ..อยากด่า ด่าไป อย่าให้ลื้อไปญี่ปุ่นบ้างก้อแล้วกัน"
วกกลับมาถึงเรื่องพี่ยุ่นเข้าคิวก้นต่อครับ  อาจารย์ฮารา ชินทาโร่ ซึ่งเป็นอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เขียนถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าแถว ไม่แซงคิว
โดยอาจารย์บอกว่าเขาเองก็ไม่ทราบว่า ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าคิวทุกครั้ง และแทบจะไม่มีใครกล้าแซงคิว ที่สำคัญมันยังเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับงานวิจัยด้วย
1. เป็นวัฒนธรรมในสังคมญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถูกสอนตั้งแต่สมัยอนุบาลศึกษา ทั้งพ่อแม่ ทั้งครู และทั้งบรรดาผู้ใหญ่จะดุเด็กๆ ที่แซงคิวหรือไม่เข้าคิว ตั้งแต่สมัยเด็ก
         ก็เข้าใจว่าการแซงคิวนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ว่าทำได้หรือทำไม่ได้มากกว่า เนื่องจากว่าทุกครั้งที่พยายามจะแซงคิว เด็กๆจะโดนผู้ใหญ่ดุ และไม่มีผู้ใหญ่ที่แซงคิว ทำให้เด็กรู้ว่า ฉันก็ทำไม่ได้
2. คนที่แซงคิวถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีคุณค่า เพราะคนนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เกรงใจคนอื่น และทำให้คนอื่นรอนานเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง
        ชาวญี่ปุ่นแทบทุกคนเน้นความตรงต่อเวลามาก ดังนั้น การแซงคิวหมายความว่า คนที่แซงนั้นไม่ให้เกียรติต่อเวลาของคนอื่น เมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เห็นคุณค่าในเวลาของคนอื่น คนนั้นก็ถูกมองว่าคนที่ไร้คุณค่า  แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับสึนามิโศกนาฎกรรมน่าเศร้าเช่นนี้ ญี่ปุ่นก็ยังแสดง ภาพน่าประทับใจให้เห็นถึงสังคมที่มีรูปแบบอย่างดีสามารถรับมือกับวิกฤตอย่าง นิ่งสงบและมีระเบียบ
3. สิทธิและความเท่าเทียมกัน แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าของแถวนั้นเป็นคนใดก็ตาม เราก็รู้สึกว่า เขามีสิทธิมากกว่าเรา แม้ว่าเราจะมีอำนาจสูกว่า มีเงินมากกว่า มีการศึกษาสูงกว่า ตำแหน่งที่สูงกว่าก็ตาม ในแถวนั้น คนที่มีสิทธิมากที่สุดก็คือคนที่มาเร็วที่สุด คนนั้นเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เวลาคนญี่ปุ่นเค้าจะข้ามถนนยังต้องเข้าแถวเลย
4. สังคมญี่ปุ่นเชื่อว่า การเข้าคิวนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะถ้าไม่มีคิว คนที่ได้เปรียบที่สุดก็คือ คนที่ไม่รู้จักคำว่าอาย เราก็ไม่อยากจะให้สังคมของเราเป็นสังคมที่คนที่ไม่รู้จักคำว่า อาย ได้เปรียบ ทุกคนก็ยอมรับที่จะเข้าแถว แม้ว่าแถวนั้นจะยาวเป็นหลายกิโลก็ตาม
ในสังคมบางสังคม ในขณะที่เราเข้าแถว ผู้ใหญ่มาถึงที่นั้น มักจะมีคนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่และบอกว่า “เชิญทางนี้นะค่ะ/ครับ” หลังจากนั้นก็จะให้บริการแก่ท่านผู้ใหญ่คนนั้นก่อนคนที่เข้าแถวเป็นเวลานาน
ถ้าในประเทศญี่ปุ่น อาจจะมีคนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่ (แม้ว่าหายาก) แต่คนที่ต้อนรับท่านผู้ใหญ่นั้นก็ต้องบอกว่า
“ขอบคุณครับท่าน ขอโทษนะครับ วันนี้ คิวมันจะยาวหน่อยครับ”
อ่านข้อเขียนของอาจารย์เสร็จ  ผมเดินไปหยิบธงของหมอลักษณ์ออกมาฟัน
ว่าประโยคช่วงหลังๆ อาจารย์พูดถึงประเทศสารขัณฑ์...ชัวร์


                                                                                              กุนซือ
               p_kiti@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

อาหารชาตินิยม







         วานก่อนไปนั่งทานก๋วยเตี๋ยวแถวๆบ้าน ร้านที่ผมทานประจำลูกค้าค่อนข้างเยอะ เรียกว่าเข้าๆออกๆ แตะมือผลัดกันตลอด  เพราะน้ำซุปอร่อย  ควมจริงก๋วยเตี๋ยวจะอร่อย หรือไม่อร่อยเนี่ย มันมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่างนะครับ  แต่ผมว่าน้ำซุปนี่แหละครับที่ถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่ง
เผอิญมีนักท่องเที่ยวชาวจีนสองคน ชาย-หญิง เดินเข้ามาในร้าน หันรีหันขวาง พยายามหาโต๊ะนั่ง สุดท้ายก็ได้โต๊ะใกล้ๆกับผม  เลยถือโอกาสเอียงหูฟัง  ว่านักท่องเที่ยวจีนเค้าจะสั่งก๋วยเตี๋ยวแนวไหน เผื่อเป็นวิทยาทาน อีกหน่อยมีสตุ้งสตางค์อาจจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวรับแต่ทัวร์จีน โกยเงินกับเค้ามั้ง
หลังจากมองโน่น มองนี่ซักพัก เพราะมีแต่ป้ายภาษาไทย เค้าคงอ่่านไม่ออก ออเดอร์แรกที่นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจสั่งคือ.."คุณมีผัดไทยไหม?"
         ผมเลยถึงบางอ้อว่า  อาหารไทยที่สร้างชื่อให้เมืองไทย ที่ยังอยู่ในใจคนทั้งหลายมีอยู่ 3 อย่างเหมือนเดิม คือ...
ต้มยำกุ้ง  ส้มตำ และ ผัดไทย
อาหารเทพ 3 อย่าง มาเมืองไทยถ้าไม่ได้ลิ้มลอง แปลว่า..มาไม่ถึงเมืองไทย
เลยลองไปค้นคว้าที่มาของผัดไทย ว่าอุแว้ครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อไหร่  เผื่ออีกหน่อยเจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เค้าอยากรู้ที่มา  ที่ไป ของผัดไทยของเรา จะได้ยีดอกอธิบายได้ถูก
สำหรับผัดไทยเนี่ย เค้าว่าพึ่งเกิดสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกฯในตำนานของเมืองไทย นี่เอง ว่ากันว่าท่านจอมทพล ป.  เห็นคนไทยกินกันแต่ผัดซีอิ๊วของคนจีนเลยดำริให้คิดหาสูตรก๋วยเตี๋ยวผัดมาแข่งกับผัดซีอิ๊วก็ได้มาเป็นผัดไทยนั้นเอง
แม้ว่าหน้าตาของเจ้าผัดไทยจะกระเดียดไปทางอาหารจีน เพราะใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวผัด แต่จริงๆ แล้ว ผัดไทยเป็นอาหารที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของคนไทยแท้ๆ เลย มิหนำซ้ำยังเกิดในช่วง “รัฐนิยม” สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงครามเสียด้วย อย่างที่รู้ๆ กันว่าช่วงนั้นกระแสความเป็น “ชาติไทย”ฟีเวอร์ขนาดไหน ในเมื่อเรามีอะไร ๆ ที่เป็นไทยแล้วมากมาย จะขาด“อาหารไทย” ไปได้อย่างไร
        ผัดไทยจึงเกิดขึ้นมาด้วยประการฉะนี้
ผัดไทย ประกอบไปด้วย เส้นเล็ก เต้าหู้เหลืองซอย กุ้งแห้ง ใบกระเทียม ไข่ถั่วงอกดิบ สมัยนี้ยังมีผัดไทยกุ้งสด บางทีก็ผัดไทยห่อไข่ด้วย แถมบางเจ้ามีผัดไทยใส่หมูเสียด้วย
        แต่รู้ไหมครับว่าผัดไทยที่เป็นไทยแท้ๆ นั้น ต้องไม่ใส่หมูเด็ดขาด
         หลายคนอาจจะทำหน้าแมวสงสัยว่า ทำไมไม่ใส่หมู  เหตุผลก็เพราะว่าคนในสมัย “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” เขามองว่าหมูเป็นอาหารของคนจีน คนไทยนานๆ ถึงจะกินหมูสักที ดังนั้น เนื้อหมูเลยหมดสิทธิ์มาอยู่ในจานอาหารไทยรัฐนิยม
ผลพวงของนโยบายชาตินิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ได้ก่อกำเนิดอาหารขึ้นมาชนิดหนึ่งและเหลือมาถึงปัจุบัน อาหารชนิดนั้นเกิดขึ้นเพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าในสมัยนั้น "ก๋วยเตี๋ยว" เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากเพราะมีร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งแบบตั้งอยู่กับที่และแบบเคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็น ทางรถ(เข็น)หรือทางเรือก็ตาม ซึ่งก๋วยเตี๋ยวนั้นจอมพล ป. เห็นว่าเป็นอาหารที่มีพื้นแพ มาจากประเทศจีน
ในช่วงนั้นรัฐบาลพยายามอย่างมาก ที่จะถอดถอนความเป็นจีนออกจากคนไทยเชื้อสายจีนทั้งหลายที่อยู่ในประเทศไทย ถึงกับมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการสอนหนังสือจีน ในเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ยากแก่การปราบปรามก็คือ "ก๋วยตี๋ยว"นี่เอง ทำให้ก๋วยเตี๋ยวเป็นหนามตำใจของรัฐบาลในขณะนั้น
       แสดงว่าอิทธิ์ฤทธิ์ของก๋วยเตี๋ยวนั้นยังคงขลัง  และทรงพลังมาจนถึงบัดนี้
        แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ได้คิดค้นอาหารขึ้นมาชนิดหนึ่งเพื่อจะส่งเสริมให้ประชาชนนำไปทำมาค้าขายแทนที่การขายก๋วยเตี๋ยว (จีน) โดยอาหารชนิดนี้พยายามสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองที่ตรงกันข้ามกับก๋วยเตี๋ยว (จีน)
       เราก็ได้ "เส้นจันท์" ขึ้นมา ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะแก่การผัดในกระทะ ก๋วยเตี๋ยว (จีน) มักจะกินเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ อาหารนี้กินแบบแห้งเท่านั้น (เพราะใช้ในการผัด) และสุดท้าย
       เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอาหารนี้เป็น อาหารของคนไทยอย่างแน่นอน จึงตั้งชื่อว่า "ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย"
ก๋วยเตี๋ยว ผัดไทยจึงเป็นอาหารที่เกิดขึ้นมาภายใต้วัฒนธรรมแบบชาตินิยมที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามพยายามสร้างขึ้นโดยแท้ เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมการกินแบบชาตินิยม ก็เห็นจะไม่ผิดไปจากความจริง
ปิดท้ายด้วยคำถามที่หลายคนสงสัย ว่าผัดไทย  นั้นสะกดอย่างไรถึงจะถูก เพราะเห็นร้านอาหารทั้งหลายที่ขาย บางร้านก้อเขียน"ผัดไทย"  บางร้านก้อเขียน "ผัดไท"  สรุป มี ย. ห้วยตามท้ายหรือไม่
สรุปคือ เมื่อผัดไทย เป็นอาหารที่ถูกคลอดมาเพื่อสร้างความเป็นชาตินิยมของคนไทย  ดังนั้น ต้องสะกดว่า"ผัดไทย"เท่านั้น ที่ถูกต้องที่สุด  ร้านค้าทั้งหลายที่ยังเขียนผิดอยู่ ช่วยเอาปากกาไปเขียน ย.ยักษ์ เติมท้ายโดยพลัน
        เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าทำอาหารไม่มีความเป็นชาตินิยม...แฮ่ม!

กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนีห่าว...กากี่นั้ง




หนีห่าว..กากี่นั้ง

ว่ากันว่าถ้าคนที่มีเชื้อสายจีน นัดแนะเวลากัน แล้วทุกคนกระโดดพร้อมกัน จะเกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหวขึ้นมาในโลก ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่าคนจีนบนโลกใบนี้มีมากมายเท่าได
        ลองหันไปหยิบหนังสือสถิติขึ้นมาดู คนจีนยังเป็นแชมป์ ทีมียอดประชากรสูงที่สุดในโลกประมาณ 1,369 ล้านคน อันดับสองรองลงมาที่มาแรงไม่แพ้กันคืออินเดีย ที่จำนวนประชากรเพิ่มแบบพรวดๆๆๆ ขึ้นมาแตะ1,252  ล้านคน
        อันดับสามเป็นพี่เบิ้มพญาอินทรี ที่มีตัวเลข 322 ล้านคน เรียกว่าอันดับหนึ่งกับสอง ทิ้งห่างอันดับที่สามแบบหายห่วง
อันดับที่สี่คืออินโดนีเซีย อันดับห้าได้แก่ดินแดนกาแฟบราซิล  อันดับหก คือปากีสถาน แล้วต่อด้วยไนจีเรีย บังคลาเทศ และญี่ปุ่น ตามลำดับ
ส่วนพี่ไทย ของเราติดโผอยู่ในอันดับที่ 20 ตัวเลขประชากรเคาะออกมาราวๆ 66 ล้านคน
หลายคนอาจจะสงสัยอยากรู้ว่าประเทศไหนประชากรน้อยที่สุด  เชื่อว่าหลายคนต้องทายว่า ประเทศหรือเขตปกครองพิเศษที่มีประชากรน้อยที่สุดคือ นครรัฐวาติกัน ที่มีประชากรอยู่ 900 คน
แต่ข้อมูลล่าสุด พบว่า ประเทศหรือเขตปกครองที่มีประชากรน้อยที่สุดในโลกคือ หมู่เกาะพิตแคร์น ที่มีประชากรอยู่แค่ 58 คนเท่านั้น
คิดกันง่ายๆว่า ถ้าคนบนโลกเดินมา 100 คน  เราจะเจอคนจีนซะ 19 คน คนอินเดีย 17 คน เป็น
คนมะริกันซะ 4 คน เป็นคนอินโดฯ 3 คน เป็นคนรัสเซีย 2 คน มียุ่นเดินมาแค่ 1 คน ที่เหลือก็คละกันไป ส่วนพี่ไทย ตัวเลขบวก ลบ คูณ หาร ออกมาแล้ว ในร้อยคน เรามียังไม่ถึงหนึ่งคนเลยครับ
         นี่ยังไม่รวมบรรดาคนที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ แล้วมีเชิ้อสายจีนอีกต่างหาก ดูง่ายๆในเมืองไทย คนไทยเชิ้อสายจีนเนี่ย มีกระจัดกระจายอยู่ทุกแห่งหน ทุกตำบล จนเราถือเป็นเรื่องปรกติ นับนิ้วกดเครื่องคิดเลขกันไม่หวาดไม่ไหวกันเลยละครับ



ดังนั้นเวลาคนจีนขยับทำอะไร มักจะเป็นเรื่องครับ เพราะคนเยอะ เรื่องราวก้อต้องแยะตามไปด้วย
ช่วงนี้เป็นช่วงตรุษจีน ที่คนจีนทั้งหลายกำลังมีค่านิยมเดินทางออกท่องเที่ยวยังต่างประเทศ แถมประเทศไทยยังเป็นเมืองในฝันของบรรดานักท่องเที่ยวจีน  เพราะเมืองสวย วัฒนธรรมดี คนน่ารัก สินค้าราคาก็ประหยัด อาหารอร่อย แถมมีสิ่งบันเทิงรองรับแบบครบครัน
โดยเฉพาะเชียงใหม่ ที่ช่วงหลังๆ กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนที่ตนนี้มีค่านิยมใหม่คือ ชอบท่องเที่ยวด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้บริการจากบริษัทท่องเที่ยวหรือบริษัททัวร์ เหมือนกับเมื่อก่อน
ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้ามาในเมืองเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง และปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีก็ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องภาษา  หรืออุปนิสัยของคนจีนที่อาจจะแตกต่างกับบ้านเราในเรื่องวัฒนธรรม ทำเอาคนเชียงใหม่หลายคนถึงกับผวา เวลาเจอนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ๆ เพราะกลัวจะเป็นปัญหาของเมือชียงใหม่งเต่อไปในอนาคต
แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดานักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้ เมื่อเวลาเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ ก็ได้สร้างรายได้ให้กับเชียงใหม่ได้อย่างอักโข มี่เงินหมุนเวียนสะพัดทั่วเชียงใหม่จำนวนมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา
ถึงแม้จะมีปัญหาที่เกิดขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอุปนิสัยของเค้า ที่อาจจะส่งเสียงดัง ลัดคิว หรือไม่รักษาความสะอาด ฯลฯ
เรื่องเหล่านี้ จะให้แก้แบบฉับพลัน ก็คงเป็นเรื่องยากครับ งานนี้อาจจะต้องท่องภาษิตไว้ในใจครับว่า
"เมื่อต่อต้านไม่ได้ ก้อ...เข้าร่วม"(แฮ่ม)
ตอนนี้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ททท.หรือว่าองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็พยายามหาวิธีรับมือกับนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร
         ให้เกิดอาการ"win-win" กันทั้งสองฝ่าย
โดยเน้นความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการ ในการควบคุมดูแลการเข้า-ออกของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย การตรวจสอบและดูแลการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติอย่างเข้มงวดการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ทราบถึงค่านิยม และวัฒนธรรมไทย สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ
เพื่อจะได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม ก่อนการเดินทางเข้ามาประเทศไทย
มีการจัดทำป้ายหรือสัญลักษณ์ เพื่อแจ้งเตือนสิ่งที่ควรรู้ให้นักท่องเที่ยวเข้าใจ ตลอดจนส่งเสริมให้คนไทยเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ทั้งนี้ในส่วนของ ททท. เขาจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการปรับโครงสร้างตลาด มุ่งเน้นส่งเสริมตลาดระดับบนอย่างจริงจัง
ช่วงตรุษจีนปีนี้ ก้อเลยอยากบอกพ่อแม่พี่น้องชาวเชียงใหม่ครับว่า กองทัพนักเที่ยวจากเมืองจีนจะทะลักเข้ามาในเชียงใหม่หลายแสนคน ดังนั้น เราๆท่านๆ อาจจะต้องทำใจกันบ้างครับ
       ก็เหมือนที่เกริ่นมากล่วงหน้าแหละครับ เมื่อคนมันเยอะ ปัญหามันก็ต้องแยะเป็นของคู่กัน หลายคนอาจจะหงุดหงิดเวลาเจอพฤติกรรมที่แย่ๆของนักท่องเที่ยวบางคน
งานนี้ก็ต้องบอกว่า ต้องใจเย็นๆ ถือเสียว่าเขาเป็นแขกบ้านแขกเมืองของเรา หนักนิด เบาหน่อย ก็ขอหยวนๆกันไป ถือว่าเรายังรักษาสัญลักษณ์"ยิ้มสยาม"ของเราให้ดำรงอยู่
ถ้ายังไม่หาย ยังอึดอัดอยู่ ลองหายใจยาวๆลึกๆ ท่องวลีโบราณเอาไว้ข่มใจครับ...
"จีนไทย ใช่อื่นไกล..พี่น้องกัน"
"หนีห่าว...กากี่นั้ง" คร๊าบบบบ ผม

                   กุนซือ      
                                                                                   p_kiti@hotmail.com