วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปั่นสองล้อ ผ่อเจียงใหม่




ปั่นสองล้อ ผ่อเจียงใหม่

      เดี๋ยวนี้ผู้คนหันมาใส่ใจกันเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ซึ่งทำได้หลายแบบ แต่ช่วงหลังๆ การออกกำลังกายประเภทปั่นจักรยานกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับประโยชน์รอบด้านไม่ว่าสุขภาพกายและสุขภาพจิต
      วันนี้เลยขอหยิบข่าวดีสำหรับสิงห์นักปั่นของเชียงใหม่ทั้งหลายมาฝากกันครับ
โดยทางมูลนิธิแพทย์น้ำเงินขาว สู่ชุมชน เขาจับมือศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ จัดกิจกรรมการกุศล โดยหวังจะรวมพลคนชอบปั่นทุกเพศทุกวัยทั้งมือเก่ามือใหม่ร่วมขบวนปั่นจักรยานการกุศล"ปั่นสองล้อ ผ่อเจียงใหม่"
      โดยวัตถุประสงค์หลักๆก็คือ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม สร้างสรรค์สังคม ชื่นชมอดีตเชียงใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม รวมทั้งหารายได้ช่วยชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลในโครงการ หมอน้ำเงินขาว ช่วยชาวบ้าน
      งานนี้ได้เจ้าภาพบิ๊กเนม อย่าง รศ.นพ.อำนาจ อยู่สุข ซึ่งตอนนี้ท่านเป็นประธานมูลนิธิแพทย์น้ำเงินขาว สู่ชุมชน เป็นแม่งานใหญ่


                                                                รศ.นพ.อำนาจ อยู่สุข


         หมออำนาจ แจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับงานนี้ว่า  กิจกรรมปั่นสองล้อ ผ่อเจียงใหม่ ได้ฤกษ์ดีเดย์จัดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2560  สตาร์ทตั้งแต่ 07.30 น. เป็นต้นไป  โดยจุดนัดพบ ใช้บริเวณ ณ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ 
      งานนี้เป็นการปั่นรถถีบออกกำลังกายและท่องเที่ยวไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเมืองเชียงใหม่รวมระยะทาง 21 กิโลเมตร กางแผนที่ออกมาดู ผ่านถนนสายสำคัญๆของเมืองเชียงใหม่หลายสาย อาทิ ถนนรอบคูเมือง ถนนช่างม่อย ถนนเจริญเมือง ถนนท่าแพ เป็นต้น 
      แถมยังผ่านสถานที่ต่างๆ ที่เป็นย่านเก่าแก่ บางแห่งถูกรื้อถอนไปแล้ว บางแห่งยังคงสภาพเดิมอยู่ เช่น ตลาดวโรรส ตลาดต้นลำไย โบสถ์เชียงใหม่คริสเตียน วัดเกตการาม สนามกอล์ฟยิมคานา เป็นต้น 
งานนี้เจ้าภาพมั่นใจว่าจะทำให้เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์การใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนเชียงใหม่ในยุคก่อนที่เรียบง่ายสวยงาม 
       โดยเฉพาะเส้นทางและสถานที่บางแห่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จเยือนเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2501
      “นักปั่นทุกท่านจะได้รับสูจิบัตรคู่มือประกอบการปั่นในวันนั้น มีเนื้อหาเรื่องราวของสถานที่เก่าแก่ต่างๆ ที่อยู่ตามเส้นทาง ซึ่งคิดว่าท่านจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินและได้ความรู้อีกด้วยส่วนรายได้จากกิจกรรมนี้ 
        รายได้จากการจัดงานนี้ทางมูลนิธิฯ ก็จะนำไปจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์กีฬา เพื่อนำไปใช้ในโครงการ หมอน้ำเงินขาว ช่วยชาวบ้าน ที่ไปให้บริการส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชนที่ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกลโรงพยาบาล ทุกๆ 3 เดือน หรือ ปีละ 4 ครั้ง 
        ซึ่งทางมูลนิธิฯได้จัดมาแล้ว11 ครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ ก็ได้ไปที่โรงเรียนพัฒนาต้นน้ำบ้านขุนคอง อำเภอเชียงดาว และ บ้านแปกแซม อำเภอเวียงแหง
       หันมาทางด้านคุณ สรณคมน์ ชุติมา กรรมการบริหารศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นเจ้าภาพร่วม แจกแจงมาได้ความว่า  ทางศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2514 มีบทบาทในการรักษาสืบทอดศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของเชียงใหม่มาโดยตลอด 
      และมีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิแพทย์น้ำเงินขาว สู่ชุมชนจัดงานครั้งนี้ โดยจะมีการจัดกิจกรรมร่วมกันคือ การแสดงนิทรรศการภาพวาดสีน้ำของ อาจารย์ธนกร ไชยจินดา ศิลปินสีน้ำชื่อดัง ชุด กึ๊ดเติงหาเจียงใหม่ สมัยตะก่อน เปิดให้เข้าชมทุกวันจนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2560
      งานนี้เจ้าภาพทั้งสอง ก็ขอส่งเทียบเชิญ ชวนนักปั่นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ งานนี้เจ้าภาพเขาบอกว่าไม่ต้องเป็นมืออาชีพก็ได้ เพราะถือว่ามาร่วมกันปั่นแบบสบายๆ ไม่แข่งขัน ร่วมกันสร้างจิตสำนึกที่จะช่วยกันดูแลเชียงใหม่ของเรา และสุดท้ายคือการได้ร่วมกันทำบุญ
      สนนราคาค่าสมัครเพียง 300 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ 200 บาท สำหรับนักเรียนและนักศึกษา 
       มีอาหาร เครื่องดื่ม เป้สะพายหลัง แก้วเซรามิค คู่มือผ่อเจียงใหม่ และของสมณาคุณอีกมากมายครับ ท่านสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่แผนกการเงินโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย , ร้านอาหารเอื้องคำสาย ในศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ และwww.thaimtb.com 
       หรือจะกริ๊งกร๊างสอบถามรายละเอียดแบบโดยตรงได้ที่คุณพงษ์ศักดิ์ ทักษิณสุข โทรศัพท์ 081-992-2500 
      งานนี้สิงห์น่องเหล็กนักปั่นทั้งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับผม

กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คืนแห่งความสุข






คืนวันเสาร์ที่ผ่านมานอนดูทีวีอยู่บ้าน มีความสุขแบบ"นัน สต๊อป"ครับ เรียกได้ว่าอยากได้อะไร สวรรค์จัดให้แบบเต็มๆ เริ่มจากนั่งดูเกมอุ่นเครื่องฟุตบอลระหว่างทีมรัก"หงส์แดง"ลิเวอร์พูล กับ โครตทีมอย่าง บาร์เซโลน่า
       ซึ่งบรรดากองแช่งหงส์แดงทั้งหลาย ต่างฟันธงว่า งานนี้เด็กหงส์จะต้องก้มหน้าเดินเข้าออฟฟิตเช้าวันจันทร์ ชัวรป๊าบบบ
      เพราะโดนทีมบาซาร์ฯถล่มเละแน่ เนื่องจากฝีเท้าห่างชั้นกันเยอะ
ไปๆมาๆ กลายเป็น"คดีพลิก"กลายเป็นหงส์แดง เป็นฝ่ายเดินหน้าแล้วฆ่ามัน ยิงทีมต่างดาวซะ 4-0 ทำเอาบรรดากองแช่งทั้งหลายขยี้ตา สะบัดหน้าเหลียวมองทีวีหลายครั้ง
โดยเฉพาะเด็กผีแดงทั้งหลาย ที่งานนี้คงเหมือนมีมดคันไฟวิ่งเข้าแถวไปเดินสวนสนามในอก
     บางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตุว่า หลังจากที่หงส์แดงถล่มทีมบาร์เซโลน่าไปขาดลอย จนอ้าปากค้างกันไปทั้งโลก ทำไมเน็ตในเมืองไทยวิ่งปรู๊ดปร๊าด กันมากกว่าเดิม
เขาเฉลยกันง่ายๆว่า...
        เพราะ เด็กผีแดง พากันปิดคอมพ์ ปิดมือถือ เข้านอนกันไปแถว ประมาณว่า ถ้ายังไม่นอน อาจจะโดนกระเหนะกระเหน ให้"ตะเตือนใจ"กันทั้งแก๊งค์
ส่วนเด็กหงส์ทั้งหลาย รวมทั้งผม ก้อไม่ต้องพูดถึง อารมณ์ดีเพราะมีความสุข ชั่วโมงนั้นยุงกัด ยังไม่ยอมตบ ใช้ปากเป่าไล่ยุงแทน จิตใจงดงามกันทั้งชาวคณะ            เปิดเล่นเฟสฯ เล่นทวิตเตอร์ไปตามเรื่องตามราว เพราะยังอยากดื่มด่ำกับผลสำเร็จของทีมรัก
แล้วมาเจอทวิตเตอร์ของคุณ"แจ็คกี้"แห่งช่อง 7 สี แกทวิตบอกว่า ใครที่ยังไหว ไม่ง่วง อย่าลืมเชียร์"น้องแนน"โสภิตา ธนสาร   แข่งยกน้ำหนักชิงเหรียญนรุ่น 48 กิโลกรัมหญิง ซึ่่งไทยเองก้อมีความหวังเหมือนกัน
       งานนี้เลือดรักชาติเริ่มไหลเวียนอีกหน ไหนๆก้อไหนๆแระ ไม่ต้องหลับ ต้องนอนกันละ ไทยไม่เชียร์ไทยแล้วจะให้ไปเชียร์เขมรที่ไหน
แถมโอลิมปิกคราวนี้ สำนักข่าวเมืองมะกัน มันตบหน้าคนไทยทั้งประเทศเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ประเทศไทยมาโอลิมปิกครั้งนี้ ไม่มีทางคว้าเหรียญทองกลับบ้านแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
      ไม่รู้ว่าไปทำโพลหรือว่าไปดูหมอยิบซีที่ไหนมา ถึงกล้าหยามกันซึ่งหน้าขนาดนั้น
คณะจัดการแข่งขันยกน้ำหนักเค้าเริ่มแข่งในประเภทท่าสแนทช์ก่อน เห็นจอมพลังสาวชาติโน้น ชาตินี้ผลัดหน้ากันออกมายกลูกเหล็ก แต่ไม่ถึงคิวของ"น้องแนน"ซักที
       มาถึงบางอ้อ ตอนหลังว่า สต๊าฟของทีมยกน้ำหนักไทยเรียกน้ำหนักเริ่มต้นการยกครั้งแรกของน้องแนนไว้สูงกว่าทุกคน ดังนั้นเลยต้องยกทีหลังชาติอื่นเค้า
นั่งดูไปเรื่อยๆ แอบเชียร์ชาติโน้นบ้าง แช่งชาตินี้(USA)บ้าง ประกอบการรอคอย สุดท้ายทุกชาติที่เข้าร่วมแข่งขันยกกันหมดแล้ว คนที่ทำยกน้ำหนักได้มากที่สุด ยกได้ 85 กิโลกรัม
แล้วก้อถึงวินาทีแห่งการรอคอยก้อมาถึง น้องแนน เดินออกมา
        พอดูกราฟฟิคผมต้องขยี้ตา เฮ้ย! ยกครั้งแรก น้องแกเรียกน้ำหนักที่ 88 กิโลกรัม เกหมดหน้าตักเลยเหรอ ทุกชาติเค้ายกกันได้สูงสุดแค่ 85 กิโลกรัมเท่านั้น แอบหวั่นใจลึกๆว่า
       ทำไมไม่เรียกซัก 85 กิโล เท่ากับสถิติสูงสุดก่อน เดี๋ยวเผื่อยกไม่ผ่านสามครั้งเนี่ย เรื่องใหญ่เลยนา ตกรอบเอาง่ายๆนะแม่คุณ
แต่ต้องทำใจ ไม่ทำตัวเป็นเซียนข้างจอ พอน้องแนน เดินมาถึงขอบเวที พนมมือ แตะของเวทีนิดนึง ประมาณเอาฤกษ์เอาชัย บอกกล่าวว่าตรูจะมาแล้วนะ
        ยืนเข้าสมาธิก่อนตะโกนขึ้นมาว่า"เอา..เว้ยยยยยยย"
เหมือนมีปรากฏการณ์"เดจาวู" ภาพน้องอร "สู้....เว้ยยยย"ลอยเข้ามาในหัวทันที เอาแล้วงัย ประโยค"...เว้ยยยยยย" ลอยมาให้ได้ยินในโอลิมปิกเมื่อไหร่ เป็นเรื่องเมื่อนั่น
แล้วมันก้อเป็นจริง น้องแนนขยับแขน ยกลูกเหล็กพรวดเดียวขึ้นไปอยู่เหนือหัว แถมยิ้มโชว์อีกต่างหาก(เรื่องนี้ผมคิดเอง น้องแกอาจจะแยกเขี้ยวก้อได้) เสียงสัญญานออดดังลั่น กรรมการให้ผ่านทั้งสามคน
แม่เจ้า..ยกครั้งแรกข่มชาติอื่นซะมิด ถ้าเปรียบเป็นเล่นไพ่ป๊อกเก้า น้องแนนหงายไพ่ออกมาครั้งแรกป๊อกเก้าสองเด้งกินรวบทันที
ไหนๆจะขู่แล้ว ต้องขู่ให้สยบ ยกครั้งที่สอง น้องแนนเรียกน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปเป็น  90 กิโลกรัม หลังจากนั้น พิธีกรรมเหมือนเดิม พนมมือ แตะขอบเวที ยืนสมาธิ..."เอา เว้ยยยยยย" ยกอีกโครม เก้าสิบกิโล ก้อลอยขึ้นไปอยู่เหนือหัวทันที
ยัง..ยังไม่จบ การยกครั้งสุดท้าย น้องแนนเรียกน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปเป็น 92 กิโล ชั่วโมงนั้น ถ้ากล้องทีวี ไปจับใบหน้านักกีฬาชาติต่างๆที่อยู่หลังเวที แต่ละคนอาจจะชักสีหน้าแบบว่า"น้อง...เมื่อไหร่น้องจะพอ"
"สู้..เว้ยยยยยย" แล้วจอมพลังสาวไทยก็ทำเอาคนไทยเฮลั่น เมื่อยกลูกเหล็กหนัก 92 กิโล ขึ้นไปชูเหนือหัวอีกครั้ง พร้อมแยกเขี้ยวยิ้มสยาม
         เอาเครื่องคิดเลขออกมาบวก ลบ คูณ หาร น้องแนน ยกน้ำหนักแซงหน้าคู่แข่งขันประเภทแรกไปถึง 7 กิโล
งานนี้เหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกลอยเข้ามาในหัวกองเชียร์ไทยทุกคนทันที
พอมาถึงท่าที่สอง คลีน แอนด์ เจิร์ก "น้องแนน"โสภิตา ยังคงยอดเยี่ยมต่อเนื่อง เธอเรียกน้ำหนักครั้งแรกที่ 106 กิโลกรัม ผ่านอย่างสวยงาม
       จากนั้นครั้งที่ 2 "น้องแนน" เรียก 108 กิโลกรัม ก็ยังผ่านอย่างไม่มีปัญหา ก่อนจะปิดท้ายด้วย 110 กรัม แต่คราวนี้โสภิตายกไม่ผ่าน
แต่...แค่นั้นก้อเพียงพอ ที่ทำให้"น้องแนน" โสภิตา ธนสาร เป็นนักยกน้ำหนักคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของไทย ที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก ต่อจาก อุดมพร พลศักดิ์ ,ปวีณา ทองสุก และ ประภาวดี เจริญรัตนธารากุล
เช้าวันอาทิตย์ก่อนไปลงประชามติ ผมได้ฟังเพลงชาติไทยก่อนแปดโมงเช้า เป็นเพลงชาติไทยที่เพราะกว่าทุกเช้าที่ผ่านมา เเหรียญทองเหรียญแรกลอยมา อยากจะเขียนจดหมายถึงประธานาธิปดีโอบามาว่า
        " HI..What's up?"
       


กุนซือ



วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เส้นทางไปสวนบ้านแม่แอน


ขับรถจากเชียงใหม่ใช้เส้นทางเชียงใหม่-แม่ริม ทางหลวง 107 เมื่อมาถึงอำเภอแม่ริมจะผ่านที่ทำการอำเภอแม่ริม




ขับผ่านไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายแยกสะเมิง ให้ขับตรงไป


ผ่านสามแยกสะเมิง เราขับรถตรงไปทางอำเภอแม่แตง

ขับมาประมาณ 1 กิโลเมตร ผ่านสะพาน แล้วขับผ่านโค้งมาแล้วให้สังเกตุแยกด้านซ้ายมือ จะมีป้ายบอกเข้าวัดเจดีย์สถาน

เลี้ยวซ้ายเข้าซอยนี้

จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ ผ่านสะพานข้ามคลองชลประทาน


ขับตรงไปเรื่อยๆ จะเจอแยกที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนานาชาติเปรม ที่อยู่ทางขวา ให้ขับตรงต่อไป

ผ่านหมู่บ้านสมหวัง

ผ่านสุสาน

ขับตรงมาซักพักจะเจอสี่แยก ที่จะแยกไปบ้านหนองบ้านมัน ให้ขับตรงต่อไปอีก

ตรงมาเรื่อยๆ ให้สังเกตุ มีทางแยกทางด้านซ้ายมือ ที่จะแยกเข้าบ้านแม่แอน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าที่แยกนี้

เจอทางแยกต่อมาให้เลี้ยวขวา ตามลูกศร แล้วขับตรงไปตามทางบังคับ

เมื่อเข้าสู่บ้านแม่แอน จะเจอแยกที่ไปวัดแม่แอน ให้ขับตรงต่อไปอีก

ขับมาประมาณ 100 เมตร จะเจอทางสามแยก 

ให้เลี้ยวซ้ายใช้เส้นทางแยกตรงกลาง

แยกนี้

แล้วขับตามทางไปเรื่อยๆ 


จนเจออ่างเก็บน้ำ มองข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามตรงที่ทำหมุดปักไว้ อยู่ใกล้สันเขื่อน  พิกัดดาวเทียม ตำบล ห้วยทราย อำเภอ แม่ริม


วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

ร้านส้มตำร้องจ๊าก แก้เกมพิษมะนาวแพง




มะนาว   มีความจำเป็นมากสำหรับการดำเนินชีวิตของคนไทย  เพราะคนไทยชอบกินอาหารที่มีรสชาติจัด  เช่น  เผ็ด  เปรี้ยว ดังนั้น มะนาวจึงเป็นวัตถุดิบทางการเกษตรอีกชนิดหนึ่งที่จะขาดไม่ได้  มองย้อนไปตั้งแต่อดีต“มะนาว” เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่คู่กับครัวไทยมาช้านาน
เนื่องจากมะนาวช่วยเติมแต่งรสชาติของอาหารให้มีความอร่อยเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผูกใจให้ใครต่อใครชื่นชอบไม่ว่าจะนำไปปรุงรสในอาหาร เช่น การใช้ทำน้ำพริก ต้มยำ ลาบ น้ำตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มตำที่เป็นอาหารที่ได้รับความนิยม ใช้มะนาวเป็นส่วนผสมในการเพิ่มรสชาติ
จากการที่มะนาวกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อสภาวะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป ฝนไม่ตกตามฤดูกาลเกิดปัญหาภัยแล้ง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวในหลายพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้มะนาวที่ออกสู่ท้องตลาดในปัจจุบันไม่ได้คุณภาพตามที่ผู้บริโภคต้องการ ส่งผลให้ราคามะนาวพุ่งสูงขึ้น
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคามะนาวตามท้องตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามะนาวมีราคาเพิ่มขึ้นหากเทียบกับเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดย ป้าดาว แม่ค้าขายมะนาว ย่านตลาดวโรรส(กาดหลวง) เปิดเผยว่า ตอนนี้ราคามะนาวขยับขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลที่ทำให้ราคาขยับขึ้นเกิดจากปัญหาภัยแล้ง ส่งผลให้ดอกมะนาวร่วงและออกผลช้า เมื่อเข้าหน้าร้อนตั้งแต่ช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน มะนาวจะแพงแบบนี้ทุกปี
แต่พอเข้าช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงหน้าฝน ผลผลิตลูกมะนาวออกจะเริ่มถูกลง แต่ถ้าหากเปรียบเทียบราคาจากปีก่อนปีนี้ราคายังถือว่าไม่แพงมาก
ป้าดาว กล่าวต่อว่า ส่วนมะนาวแต่ละอย่างจะมีความแตกต่างกัน มะนาวแป้นจะแพงกว่าเพราะคนนิยมใช้นำไปประกอบอาหาร  ส่วนมะนาวไร้เม็ดคนจะไม่นิยมใช้มากเท่าไร ส่วนมากจะใช้แค่นำไปคั้นน้ำมะนาว


จะเห็นได้ว่าการขึ้นราคาของมะนาวส่งผลกระทบต่อแม่ค้า ทำให้มะนาวขายออกช้าเนื่องจากคนใช้มะนาวสดน้อย ลูกค้ากลับไปใช้อย่างอื่นที่สามารถทดแทนมะนาวได้ ยกตัวอย่างเช่น มะม่วง มะขามเปียก เป็นต้น
ด้านนางสาวอัมพกา แก้วไธสง เจ้าของร้านเจ๊นิด ย่านตลาดเมืองใหม่ กล่าวว่า ราคามะนาวเริ่มแพงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมาถือว่าปีนี้แพงขึ้นเกือบเท่าตัว และขนาดของมะนาวในปีนี้เล็กลงกว่าปีที่แล้วด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่แม้ค้าที่มาซื้อมะนาวจะซื้อลูกเล็กหรือซื้อน้ำมะนาวสด น้ำมะนาวผสม และน้ำมะนาวเทียม ซึ่งแล้วแต่ร้านไหนใช้ไปทำ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ราคามะนาวพุ่งสูงขึ้นอาจเป็นเพราะปีนี้เกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตมะนาวที่ออกมาไม่ได้คุณภาพ มะนาวเกิดผิวแห้งไม่สวย แต่ถ้าหากรับมาเยอะไม่สามารถทำได้ ซึ่งทำให้ราคาขายของมะนาวต่ำลง ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่ค่อยอยากจะซื้อมะนาว จึงเลี่ยงไปซื้อน้ำมะนาว หรือใช้น้ำมะนาวเทียมแทน เจ้าของร้านเจ๊นิด กล่าว
ขณะที่แม่ค้าร้านขายผัก ย่านตลาดวโรรส(กาดหลวง) กล่าวว่า ราคามะนาวตอนนี้สูงขึ้นทุกวันเนื่องจากหน้านี้เป็นหน้าแล้ง หากเปรียบเทียบราคามะนาวจากปีก่อนเรื่องขอราคามะนาวไม่ได้แพงมาก แต่ราคาจะขึ้นลงตามขนาด ถ้าหากใหญ่สุดตอนนี้อยู่ที่ลูกละ 5-7 บาท รับมา 4-6 บาท ตามขนาดเล็กสุดลูก 3 บาท รับมา 2.50 บาท
ซึ่งเป็นราคาที่พ่อค้าคนกลางรับมาแล้วนำมาขายต่อ แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าผ่านกระบวนการอย่างไรบ้าง ส่วนปีที่แล้วในช่วงสงกรานต์ลูกใหญ่สุดตกลูกละ 12 บาท ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลูกละ 7 บาทในปีอยู่นิดหน่อย
แต่ทางร้านอาหารส่วนมากก็ใช้ยังอยู่เพราะว่าเป็นของที่จำเป็น แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมะนาวผสมหรือน้ำมะนาวเทียม ส่วนสาเหตุที่ทำให้ราคามะนาวพุ่งสูงขึ้นอาจเป็นเพราะปีนี้เกิดปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากมะนาวไม่ได้น้ำจึงทำให้ผลผลิตมะนาวโตไม่ได้ขนาด ไม่ได้มีเพียงแค่มะนาวได้รับผลกระทบ แม้กระทั่งลูกมะกรูดตอนนี้ไม่มีลูกมะกรูดขายเลย แต่ช่วงหน้าแล้งของเลยไม่ค่อยมี แต่ถ้าเป็นหน้าฝนมะนาวจะถูกมาก ตั้งแต่ลูก 7 บาท พอหน้าฝนจะเป็นลูกละ 3 บาท เพราะถ้าหากมะนาวได้น้ำก็จะโตขึ้นตามกระบวนการตามธรรมชาติของมะนาว


ส่วนนางสาวทัศนี คุณธรรม ผู้ประกอบการร้านส้มตำ  ย่านเดียวกัน เปิดเผยว่า ตอนนี้ราคามะนาวในตลาดแพงมาก ส่งผลให้ยอดการขายส้มตำขายได้วันต่อวันการขายตกต่ำลง บวกกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทางร้านมีวิธีแก้ไขปัญหาคือใช้น้ำมะขามเข้าช่วยเพื่อเพิ่มรสชาติ
แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับปีก่อนถือว่าปีนี้ราคามะนาวสูงพอตัว รวมถึงสินค้าชนิดอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นถั่วราคากิโลกรัมละ 70–80 บาท แต่ทางร้านได้ใช้มะนาวไร้เม็ด ลูกละ 8 บาท หรือใช้มะนาวเมืองลูกละ 6 บาทผสมกับน้ำมะขามเข้าช่วยด้วยจึงทำให้พอบรรเทาไปได้บ้าง
และนางสาวดวงเดือน หุตะมาน เจ้าของร้านคุณนายเฉาก๊วย ย่านตลาดเจริญเจริญ กล่าวว่า เนื่องจากที่ร้านขายน้ำหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำเฉาก๊วยนมสด น้ำผลไม้ปั่น แม้ว่าช่วงนี้มะนาวมีราคาแพง แต่ในเรื่องของยอดขายน้ำไม่ได้ลดลงเท่าไร อาจเป็นเพราะที่ร้านขายน้ำหลายชนิดด้วย จึงได้กำไรจากส่วนนั้นมาช่วย
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าผลผลิตมะนาวกำลังอยู่ในช่วงเผชิญปัญหาภัยแล้งทำให้มะนาวไม่ออกดอกตามที่ต้องการ ทำให้ผลผลิตมะนาวโตไม่ได้ขนาด ออกผลผลิตน้อย ผิวของมะนาวแห้งไม่สวย ส่งผลทำให้ราคามะนาวเพิ่มสูงขึ้น แต่ถึงกระนั้นมะนาวก็ยังเป็นที่ต้องการผู้บริโภค
และแม้ราคามะนาวจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าที่ขายมะนาวเท่าไร แต่กลับจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการประเภทร้านค้า ร้านอาหาร แต่ทั้งนี้แต่ละร้านก็ได้มีมีวิธีแก้ปัญหา คือ ใช้น้ำมะนาวเทียม น้ำมะขาม เพื่อลดต้นทุน

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

สุดยอดอาหารโลก





ช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซา แต่ละประเทศก็พยายามหาจุดขาย จุดเด่นของตัวเองออกมาเพื่อดูดเม็ดเงินในหลั่งไหลเข้ามาในประเทศของตน  ถ้าหันมาดูเมืองไทยที่ผ่านมา รายได้หลักของเราที่เป็นทัพหน้าหาเงินเข้าประเทศมาโดยตลอดคงจะไม่หนีรายได้จากการท่องเที่ยว เพราะไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมาย แถมกระจัดกระจายให้เลือกเที่ยวได้ทุกภาค โดยมีเสน่ห์แตกต่างกัน
นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยจองตั๋วเหินฟ้ามาเที่ยวเมืองไทยกันอย่างคึกคัก เพราะเสียงลือว่ามาเที่ยวเมืองไทยแล้วคุ้มค่า แหล่งท่องเที่ยวสวยงามและที่สำคัญใช้ค่าใช้จ่ายน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
มาช่วงหลังของดีเมืองไทย ที่เริ่มมาแรงแซงทางโค้ง ก็คือ..อาหารไทย ของเรานี่แหละครับ
ต่างชาติหลายคนติดอกติดใจเมื่อมาลิ้มรสชาติเสน่ห์ปลายจวักของพ่อครัว แม่ครัวไทยทั้งหลาย เพราะมีความหลากหลาย แถมรสชาติถึงอกถึงใจนักชิม จนเดี๋ยวนี้อาหารไทยติดชาร์ทอาหารโลกไปแล้วอย่างสวยงาม
หลายคนอาจจะเคยสงสัยตั้งคำถามว่าประเทศไหนที่อาหารอร่อยที่สุดในโลก?  คำถามนี้อาจตอบยากเพราะขึ้นกับรสนิยมของแต่ละคน แต่ก็มีความพยายามในการจัดอันดับประเทศที่อาหารอร่อยอยู่เรื่อยมา
ปีที่แล้ว เว็บไซต์ CNN Travel เปิดให้ผู้อ่านร่วมโหวตสุดยอดประเทศที่อาหารอร่อยที่สุดในโลก เชื่อหรือเปล่าครับว่า ผลโหวตออกมาส่วนใหญ่ใน Top 10 เป็นอาหารฝั่งเอเชียเกือบทั้งหมด
อยากจะรู้มั้ยครับว่า 10 ประเทศที่อาหารอร่อยที่สุดมีใครติดโผกันบ้าง ถ้าจัดเรียงลำดับจากผลโหวตปรากฏว่า
อันดับ 10 เวียดนาม
เวียดนามได้คะแนนมาเป็นอันดับสิบ แน่นอนว่าคนไทยคุ้นเคยกับอาหารเวียดนามกันดี ไม่ว่าจะเป็นเฝอ แหนมเนือง เปาะเปี๊ยะสารพัดชนิด ทั้งเป๊าะเปี๊ยะสด ทอด ญวน ทั้งหมดสามารถหากินได้ในประเทศไทยไม่ยากเลย
อันดับ 9 กรีซ
ถึงแม้กรีซจะประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่ในแง่อาหารและการท่องเที่ยว กรีซยังถือเป็นประเทศยอดฮิตอันดับต้นๆ ของยุโรป อาหารกรีซเป็นอาหารแนวประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เน้นชีส มะกอกโอลีฟ สลัด และเนื้อย่างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาหารกรีซย่อมหนีไม่พ้น “น้ำมันมะกอก” (olive oil) ที่กรีซถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก
อันดับ 8 อินเดีย
เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ทุกคนย่อมนึกถึง “เครื่องเทศ” (spice) ส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ เครื่องเทศอินเดียมีสารพัดชนิดแล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น นอกจากนี้อินเดียยังขึ้นชื่อเรื่องอาหารมังสวิรัติ ที่เกิดจากวัฒนธรรมการนับถือศาสนาด้วย แน่นอนว่าอินเดียกว้างมาก อาหารแต่ละถิ่นย่อมแตกต่างกันในรายละเอียด แต่นั่นก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของอินเดียที่รอให้นักเดินทางไปค้นหา
อันดับ 7 ฮ่องกง
ฮ่องกงถูกยกย่องมานานในฐานะเมืองหลวงของอาหารแห่งเอเชีย อาหารหลักของฮ่องกงย่อมเป็นอาหารจีน แต่ด้วยวัฒนธรรมการกินของคนฮ่องกง ก็ทำให้มีร้านอาหารจำนวนมากมายมหาศาลไปทุกตรอกซอกซอย ซึ่งก็มีหลากหลายทั้งอาหารจีน อาหารต่างประเทศ และอาหารฟิวชั่นข้ามชาติ อาหารเด่นที่สุดของฮ่องกงคือติ่มซำ แต่บะหมี่หรือข้าวหน้าเป็ด-หมูแดง ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
อันดับ 6 มาเลเซีย
มาเลเซียเป็นอีกประเทศที่มีอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ จากการผสมผสานของวัฒนธรรมคนมาเลย์พื้นถิ่น คนจีน และคนอินเดีย อาหารเด่นของมาเลเซียได้แก่ นาซิเลมัก หลักซา เป็นต้น
อันดับ 5 ญี่ปุ่น
คนไทยย่อมคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นกันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ซาชิมิ ราเม็ง สุกี้ เทมปุระ อาหารปิ้งย่างต่างๆ จุดเด่นของอาหารญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นคือคุณภาพระดับสูง เป็นมาตรฐานไปแทบทุกร้าน ซึ่ง CNN ถึงกับยกนิ้วให้บอกว่า “การกินอาหารห่วยๆ ในญี่ปุ่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
แล้วก็มาถึงอันดับ 4 ไม่ใช่ใครที่ไหนอาหารไทยของเรานี่แหละครับ
คำทักทายของคนไทยเวลาเจอหน้ากันว่า “กินข้าวหรือยัง” เป็นภาพสะท้อนที่ดีของวัฒนธรรมการกินในประเทศไทย จุดเด่นของอาหารไทยคือการหลอมรวมสมุนไพร เครื่องเทศหลายชนิด และรสชาติที่หลากหลายทั้งหวานเค็มเปรี้ยวเผ็ด ในจานเดียวกัน อาหารไทยที่โดดเด่นในระดับนานาชาติได้แก่ แกงเขียวหวาน ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ผัดไทย ต้มยำกุ้ง แต่คนไทยแบบเราๆ ย่อมรู้ดีว่าเมืองไทยมีอาหารมากมายหลากหลายกว่านั้นเยอะ
อันดับ 3 อิตาลี
เมื่อพูดถึงอาหารอิตาลี เราย่อมนึกถึงพิซซ่า และพาสต้า เป็นหลัก อาหารอิตาลีถือเป็นอาหารชั้นเลิศของยุโรปมาช้านาน และภัตตาคารอาหารอิตาลีดังๆ ก็กระจายตัวกันอยู่ทั่วโลก แน่นอนว่าอิตาลีย่อมมีอาหารพื้นถิ่นรอให้คนค้นหาอีกเยอะ เช่น เนื้อแกะย่างชีสและไข่, แป้งเกี๊ยว Tortellini กับดอกอาคาเซีย, สตูว์อาหารทะเลของเขต Ancona
อันดับ 2 ฟิลิปปินส์
อาหารฟิลิปปินส์เน้นหนักไปที่วัตถุดิบจากทะเลและป่าเขตร้อน ส่วนเนื้อสัตว์มักใช้ไก่และหมู ปรุกรสด้วยน้ำส้มสายชู เกลือ กระเทียม พริกไทย ซอสถั่วเหลือง อาหารเด่นของฟิลิปปินส์คือ อาโดโบ (Adobo) เนื้อสัตว์ทอดที่มีพื้นฐานมาจากอาหารเม็กซิกัน และเลอชอน (Lechon) หมูหันย่างทั้งตัวเอาไปสุมถ่าน ย่างจนหนังเป็นสีทองอร่าม
และแล้วก็มาถึงแชมป์ ที่ผู้คนพากันโหวตให้เป็นประเทศที่อาหารอร่อยที่สุดในโลกได้แก่ ไต้หวัน ครับ
อาหารไต้หวันเกิดจากการผสมผสานของอาหารจีนจากหลากหลายภูมิภาค ทั้งแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ฝูเจี้ยน รวมไปถึงอาหารของประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่น ในกรุงไทเปเองมีถนนสายอาหารมากถึง 20 สาย และเมืองไท่หนาน (Tainan) เมืองเก่าของไต้หวันก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงของอาหาร
อาหารเด่นของไต้หวันได้แก่ บะหมี่เนื้อวัว, ข้าวหน้าหมู, ไข่เจียวหอยนางรม, ไข่ดำ (iron egg) และชาไข่มุก (bubble tea)
ตอนนี้ถึงอาหารไทยของเราจะติดโผเข้าป้ายอันดับที่ 4 ก้อตาม  แต่ขอเตือนก่อนล่วงหน้าว่าอย่าวางใจเป็นอันขาด ใต้หวันก้อใต้หวันเถอะ ลองถ้าเชฟกระทะเหล็กของเมืองไทยฮึดสู้เมื่อไหร่ งานนี้รับรองว่า ใต้หวันเมืองหลวงของอาหารโลกอาจจะเข็มขัดกระเด็ด  ฝรั่งมังค่าเขาให้นิยามคนไทยเอาไว้นานแล้วว่า"เรื่องกินพี่ไทยของเราไม่เป็นรองชาติใดในโลก
งานนี้"ไม่เชื่อ ก้ออย่าลบหลู่"ครับผม

กุนซือ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อาหารสุดฮิต AEC


เริ่มนับถอยหลังเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน
      จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้า
ได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า
ถ้าเออีซี คลอดเมื่อไหร่ หน้าตาของภูมิภาคแถบนี้จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ผู้คนจะเดินทางไปมา หาสู่ ค้าขายกันมากขึ้น แบบไร้พรมแดน


ผมไปอ่านบทความของ กูรู อาเซียน อย่าง ดร.เกษมสันต์ วีระกุล  ซึ่งผมแอบเป็นแฟนคลับท่านมานาน ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาเซียนที่ ดร.เกษมสันต์ นำเสนอ เพราะนำเสนอง่าย เข้าใจเร็ว
และที่สำคัญที่สุดคือ....สนุก
ดร.เกษมสันต์ เขียนบทความเรื่องอาหาร การกิน ของผู้คนในแถบอาเซียน ที่ขึ้นชื่อ ลือชา ใครไปเที่ยวประเทศไหน ต้องหาทางไปรับประทาน ประหนึ่งเป็นอาหารประจำชาติ
        แต่ละประเทศก็มีทีเด็ด ของตัวเองแตกต่างกัน วันนี้เลยขออนุญาต หยิบยกมานำเสนอต่อ เผื่อใครจะไปเที่ยวเพื่อนบ้านแถวอาเซียนแล้ว จะได้รู้ว่า เป้าหมายที่จะต้องไปลิ้มลองรสชาติ อาหารประจำถิ่นที่...พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!
เริ่มจากสยามเมืองยิ้ม  คงไม่ต้องสงสัยว่าเมนูที่ขึ้นชื่อ เป็นที่รู้จักของคนต่างชาติคือ ต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung)  ด้วยส่วนผสมสมุนไพรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พริก, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด ฯลฯ ปรุงรสน้ำแกงสไตล์เผ็ด ร้อน มีรสเปรี้ยวจากมะนาว ที่มาของเมนูจานนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากำเนิดในปีใด แต่สันนิษฐานว่าเข้ามาพร้อมกับการรับข้าวเจ้ามาจากอินเดีย ทำให้กับข้าวเปลี่ยนไป เริ่มมีน้ำแกงเข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดียและแกงน้ำแบบจีน


                                                              ต้มยำกุ้ง


                มาถึงบ้านพี่เมืองน้อง สปป.ลาว คือสลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เมนูนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารฝรั่งเศส เครื่องปรุงหลักคือผักน้ำ ซึ่งคาดว่าชาวฝรั่งเศสนำมาปลูกในสปป.ลาว นำมายำรวมกับ มะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดหอม ผักชี ไข่ต้ม ถั่วลิสง หอมเจียว กระเทียมเจียว หมูสับรวน น้ำสลัดทำจาก น้ำมันสลัด น้ำมะนาว น้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เติมไข่แดงบดเพื่อให้ข้น


                                                                สลัดหลวงพระบาง

               มาถึงอาหารจากแดนโสร่ง ซึ่งได้แก่ หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของเมียนมา ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ เมนูนี้จัดเป็นอาหารว่างคล้ายกับยำเมี่ยงบ้านเรา เป็นใบชาหมักทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่ว งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว

  
                                                                        หล่าเพ็ด

        หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมและเป็นอาหารประจำชาติของประเทศกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกบ้านเรา มีส่วนผสมของเนื้อปลา เครื่องแกง และกะทิ    เป็นอาหารที่นิยมรับประทานในเทศกาลสงกรานต์


                                                                        อาม็อก

           มาถึงเวียดนาม  เรื่องนี้เดากันไม่ยากครับว่า อาหารที่ขึ้นชื่อของเวียดนาม คือ ปอเปี้ยะเวียดนาม (Nem : Vietnamese Spring Rolls) เป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของเวียดนาม แผ่นปอเปี๊ยะทำจากแป้งข้าวเจ้า ห่อด้วยเป็นไก่ หมู กุ้ง โดยนำมาห่อรวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม รับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย


                                                           ปอเปี๊ยะเวียดนาม

          ถ้าพูดถึงแดนเสือเหลือง มาเลเซีย ก้อต้องดั้นด้นไปทาน นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) ซึ่งนิยมทานเป็นอาหารเช้า เป็นข้าวเจ้าหุงกับกะทิ เติมใบเตยหอมลงบนข้าว หรือเครื่องเทศ ได้แก่ ขิงและตะไคร้ เพื่อกลิ่นหอม แล้วนำไปนึ่ง การรับประทานแบบพื้นบ้านจะห่อด้วยใบตอง ใส่แตงกวาหั่น ปลาทอด ถั่วลิสง ไข่ต้ม และซัมบัลซึ่งเป็นซอสมีลักษณะคล้ายน้ำพริก รสเผ็ด อาจทานคู่กับไก่ทอด หรือผักบุ้งผัด หมึกผัดพริก หอยแครง แตงกวาดอง แกงเนื้อกับกะทิ เป็นต้น


                                                                นาซิ เลอมัก

             กาโด-กาโด (Gado-gado) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย คำว่ากาโดนี้ ในภาษาอินโดนีเซีย หมายถึง ยำ ซึ่งประกอบไปด้วยผัก ทั้งผักสด ผักต้ม และผักลวก รวมถึงธัญพืชหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้  ไข่ต้มสุก ราดด้วยซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ ซึ่งปรุงด้วย กะปิ ถั่วลิสงบด กะทิ น้ำตาลโตนด พริกแดง กระเทียม กะทิ มะขามเปียก เวลาทานทานคู่กับข้าวเกรียบทอด


                                                                   กาโด-กาโด

        มาถึงแดนเมืองลอดช่อง ซึ่งไม่มีลอดช่องขาย ประเทศ สิงคโปร์  อาหารประจำถิ่นได้แก่ ลักซา (Laksa) เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวเปอรานากัน กลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่สร้างวัฒนธรรมผสมผสานแบบ
ใหม่ขึ้นมาโดยเอาส่วนดีระหว่างจีนและมลายูมารวมกัน ลักซาเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ มีลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย โดยเส้นก๋วยเตี๋ยวจะมีลักษณะคล้ายเส้นขนมจีน และมีส่วนผสมของกุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเล อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ แต่แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า


                                                                        ลักซา

               อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารพื้นเมืองของบรูไน  ทำจากแป้งของปาล์มสาคู กวนจนสุกจนเหนียวเป็นแป้งเปียก เวลาทานใช้อุปกรณ์คล้ายตะเกียบ (ต่างจากตะเกียบตรงปลายอีกข้างจะติดกัน) จุ่มแล้วม้วนก้อนแป้ง ทานเป็นคำ ความอร่อยอยู่ที่การทานคู่กับซอสเปรี้ยวที่ทำจากผลลำพู หรือน้ำพริกทุเรียนดอง และกับข้าวอื่นๆ ได้แก่ ผัดใบมัน ผักบุ้งผัดกะปิ ปลาย่าง เนื้อย่าง ฯลฯ  ในอดีตใช้เป็นอาหารเมื่อขาดแคลนข้าว


                                                                  อัมบูยัต

             สุดท้ายและท้ายสุด อาโดโบ (Adobo) เป็นอาหารฟิลิปปินส์ที่ได้รับความนิยม ปรุงจากเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลหมักด้วยน้ำส้มสายชูและกระเทียม ทอดในน้ำมันจนเป็นสีน้ำตาล บางครั้งจะเรียกอาโดโบว่าสตูฟิลิปปินส์ กินกับข้าวทั้งที่บ้านและสำหรับเหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง เพราะเป็นอาหารที่เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น อาหารชนิดนี้เก็บได้นาน น่าจะมาจากน้ำส้มสายชูที่เป็นเครื่องปรุงหลักยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย


                                                                      อาโดโบ

จากนี้ไป ใครจะแปกเป้ไปเที่ยวไหนในแถบอาเซียน อย่าลืมเขียนแปะไว้ข้างฝาว่า เป้าหมายข้างหน้า ต้องไปลิ้มลอง โดยไม่ต้อรอ...เชลล์ชวนชิม!


                                                                          กุนซือ
p_kiti@hotmail.com


วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เรื่องจีนๆ





เมื่อเศรษฐกิจโลกเกิดอาการเดี้ยงพร้อมกันทั่วโลก ประเทศไทยเราเลยโดนหางเลขตามไปด้วย โดยเฉพาะภาคส่งออกของไทยที่ยังโงหัวไม่ขึ้น เราเลยต้องกลับมาหารายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาทดแทน เพราะเป็นอาวุธเด็ดที่เป็นแชมป์โกยรายได้เข้าประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต
นักเที่ยวจีน ณ.นาทีนี้กลายเป็นลูกค้าหลัก เพราะเงินหยวนแน่นปึ๊ก แถมนักเที่ยวชาวมังกรทั้งหลายก็ชอบเดินทางมาเที่ยวสยามเมืองยิ้ม ยิ่งเป็นเทศกาลวันหยุดของจีน ภาพนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลมาเที่ยวไทยจนล้นทะลักกลายเป็นภาพปรกติ ที่เราๆท่านๆเห็นจนชินตา
เชียงใหม่เองก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักเที่ยวจีน อาจจะเนื่องจากค่าครองชีพถูก อาหารอร่อย ผู้คนอารมณ์ดี และที่สำคัญที่สุด เสียงลือเสียงเล่าอ้างจากบรรดานักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวแดนล้านนา แล้วกลับไปหอบความประทับใจขับขานผ่านทางสังคมออนไลน์แดนมังกร ทำให้เชียงใหม่เนื้อหอมสำหรับนักเที่ยวจีนจนถึงทุกวันนี้
เคยมีหลายคนมาถามผมว่า ช่วงเศรษฐกิจซบแบบนี้ ถ้าจะลงทุน ควรจะลงทุนด้านไหน
นั่งนึกอยู่นานตอบได้ประโยคสั้นๆว่า ลองทำมาค้าขายอะไรก้อได้ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนดู..น่าจะเวิร์คที่สุด ณ.บัดนาว
        เพราะ มองภาพรวมแล้วปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในเมืองไทย คงจะไม่"ยุบ"ในช่วงเวลาอันสั้นนี้
       เขียนแปะข้างฝาว่า นักท่องเที่ยวจีนยังจะเป็นลูกค้าชั้นดีของเราไปอีกนาน แซงหน้าบรรดามะริกันชน หรือยุโรป ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในอดีตของเรา
เราลองมาดูตัวเลขว่า นักท่องเที่ยวจีนนั้น หรูหรา อู้ฟู่ มากน้อยแค่ไหน ยามที่เหินฟ้าออกไปเที่ยวต่างแดน
การสำรวจข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนโดย Hotels.com (Chinese International Travel Monitor หรือ CITM) เผยว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวอย่างหรูหราขึ้น
ผลสำรวจที่น่าสนใจอีกอย่างจากรายงานปีนี้คือ 10 % ของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ใช้เงินจำนวนมากที่สุดในการท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 73,770.66 บาท (13,800 หยวน) ต่อวัน (รวมค่าห้องพักแล้ว)
        ซึ่งมากกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนทั่วไปกว่า 4 เท่า โดยนักท่องเที่ยวจีนทั่วไปมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 17,796.10 บาท(3,324 หยวน) ต่อวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายดังกล่าวกลับดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนอีก 5 % ที่ใช้จ่ายมากถึง 6 เท่าของค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายทั่วไป คือ 111,703.74 บาท หรือ 20,896 หยวน          แสดงให้เห็นถึงนักท่องเที่ยวระดับใหม่ซึ่งก็คือกลุ่มนักท่องเที่ยว “ซุปเปอร์ ลักซ์ชัวรี่” นั่นเอง
ผลสำรวจยังพบอีกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ชื่นชอบการจองห้องพักออนไลน์ การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาและจองห้องพักสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศกลายเป็นเรื่องปกติของนักท่องเที่ยวจีนไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน อัตราการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อวางแผนและจองห้องพักพุ่งทะยานเป็นอย่างมากใน 1 ปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจปีนี้เผยว่านักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์วางแผนทริป ของพวกเขาผ่านระบบออนไลน์โดยใช้สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ และแล็ปท๊อป
        ซึ่งในปีที่แล้วมีเพียง 53 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่าครึ่ง ใช้แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนในการวางแผนและจองห้องพัก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์
ดูตัวเลขแล้วถือว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล ถ้าใครได้นักเที่ยวจีนเป็นลูกค้าขาประจำ หลับตาก้อเห็นเงินหยวนลอยไป ลอยมาอยู่ตรงหน้า
        งานนี้นักลงทุนคนไหน ใครออกตัวก่อน รับรองว่า...มีชัยไปกว่าครึ่ง!
       
ปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้แบบจีนๆ สำหรับคนที่ชอบกินโต๊ะจีน คนไทยหลายคนอาจจะเกาหัวสงสัยมานานว่า เวลากินโต๊ะจีนทำไมเสิร์ฟเนื้อก่อน ทำไมเสิร์ฟข้าวทีหลัง มาก็อิ่มแล้ว
       หรือแม้กระทั่งเอามาทำไม ไม่ชอบเลย อยากรู้มั้ยครับว่า ว่าทำไมการเลี้ยงโต๊ะจีน ถึงมีลำดับการเสิร์ฟอาหารเช่นนั้น เขาวิสัชนาว่า
ลำดับการเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะจีน สืบเนื่องมาจากการรับประทานอาหารของชาวจีน ที่นิยมรับประทานอาหารตามลำดับ ดังนี้
กับแกล้มหรือออเดิร์ฟกินเล่นรอจานหลัก อาจจะเป็นจานเย็นหรือร้อนก็ได้
ซุปน้ำข้น มีเนื้อสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารจานพิเศษ เช่น หูฉลาม เป๋าฮื้อ
อาหารต่าง ๆ ที่มีรสอาหารหลากหลาย ซึ่งการเรียงลำดับอาหารที่ดี จะทำให้ผู้รับประทานไม่รู้สึกเลี่ยน จานหลักอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมู ไก่ เป็ด
จานหลักอาหารประเภทปลา ที่ชาวจีนนิยมนำมากินในโต๊ะจีน เพราะปลาในภาษาจีนจะพ้องกับคำว่า “หยู” ที่แปลว่า ล้นเหลือ
อาหารประเภทซุป ส่วนใหญ่จะวางหลังอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพื่อจะได้คล่องคอ
ข้าว เสิร์ฟมาที่หลัง เนื่องจากคนจีนถนัดกินกับข้าวกับสุรามากกว่า
        ข้าวจึงมักจะสั่งมากินตอนท้าย แบบว่ากินข้าวก่อนจะกลับบ้านของหวานหรือผลไม้นั้น ถูกเพิ่มในโต๊ะจีน เพื่อให้ครบทั้งของคาวของหวานในการจัดโต๊ะจีนนั้น
       หากเจ้าภาพนำอาหารที่แปลกและดี เช่น หูฉลาม เป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หมูหัน เป็ดปักกิ่ง รังนก ฯ ซึ่งเป็นของที่มีราคาแพงมาเสิร์ฟในงาน นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงกับแขกรับเชิญ ผู้มาร่วมงานทุกคน
       ณ.ชั่วโมงนี้ต้องต้องเข้าใจคนจีนให้ครบทุกองศามากขึ้นกว่าเดิมครับ
        เพราะคุณคือ...ลูกค้ารายหย่ายยยยย!
จ้ายเจี้ยน...แล้วพบกันใหม่ครับทุกท่าน

                                                                       กุนซือ
                                                    p_kiti@hotmail.com