วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหมูๆ 28/4/2552

    

            ช่วงที่ผ่านมา ผู้คนที่ทำมาหากินอยู่กับวงการสุกร โดนสึนามิถล่มกันถ้วนหน้า เริ่มตั้งแต่พอเข้าหน้าร้อน ปริมาณลูกหมูที่เกิดใหม่ก็มีจำนวนลดลง เมื่อประชากรหมูลดลง แต่คนยังนิยมบริโภคเหมือนเดิม ก็ย่อมเกิดภาวะขาดแคลน
                ตามกฏอุปสงค์ อุปทาน เมื่อของขาด ราคาก็ต้องพุ่งขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่มันไม่เป็นธรรมชาติคือราคาแทนที่จะค่อยๆขยับขึ้น ดันใช้บริการขึ้นลิฟต์ พรวดๆๆๆ จนผู้คนตกอกตกใจกันทั้งบ้าน ที้งเมือง
                สุดท้ายคนก็เริ่มหันไปบริโภคเนื้อสัตว์อย่างอื่นแทน  เช่นเนื้อไก่ เรียกได้ว่า พอหมูงานเข้า  ไก่ก็รับกรรมแทน  ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก จู่ๆก็เกิดไวรัสตัวใหม่ขึ้นมา เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่กลายพันธ์ ชื่อเอช 1 เอ็น 1ที่อยู่ในตัวหมู ติดต่อได้จากคนสู่คน
                เขาก็เลยตั้งชื่อว่าเป็นไข้หวัดหมู เราๆท่านๆได้ยินชื่อไข้หวัดหมูปุ๊ป ก็ต้องผวาว่าจะต้องเป็นลูกพี่ ลูกน้องกับไข้หวัดนกแน่นอน  กันไว้ดีกว่าแก้ ผู้คนเลยงดกินหมูชั่วคราว จนกว่าข่าวคราวจะชัดเจน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราสามารถบริโภคเนื้อหมูได้ ไม่เป็นอันตรายเพราะเชื้อนี้ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู
                แต่ติดต่อได้เช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปคือเชื้ออยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยหรือแพร่ได้จากการไอ  แต่ก็ยังมีข่าวดีที่ว่า ณ.นาทีนี้เชื้อไข้หวัดหมูนี้ยังไม่แพร่เข้ามาในประเทศไทยของเรา
                คนที่ตกระกำลำบากที่สุดตอนนี้คือบรรดาผู้เลี้ยงสุกรทั้งหลาย  เขียงหมูในตลาด ที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนเริ่มเก็บฉาก เก็บเขียงกลับบ้านเนื่องจากขายไม่ได้ และที่โดนหางเลขโดยไม่ได้นัดหมายคือ ร้านบุฟเฟต์ หมูกะทะ
                ว่ากันว่า ถ้ากินเนสต์ บุ๊ค มาเที่ยวเชียงใหม่ รับรองว่าจะมีสถิติใหม่ให้ชาวโลกได้ประจักษ์คือ เชียงใหม่คือจังหวัดที่มีบุฟเฟต์ หมูกะทะ มากที่สุดในโลก
                ถึงแม้ว่าตอนนี้จำนวนร้านจะลดน้อย ถอยลงไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังมีให้เห็นทุกมุมเมือง แต่ถ้าใครมาเชียงใหม่หลายปีก่อน อาจจะพาลนึกว่าอาหารประจำชาติของเชียงใหม่คือ หมูกะทะ แทนที่จะเป็นข้าวซอย หรือใส้อั่ว  เพราะขับรถไปถนนเส้นไหนถ้าไม่มีร้านหมูกระทะโผล่มาให้เห็นถือว่า ถนนเส้นนั้นไม่เจริญ ไม่ทันสมัย ว่ากันไปโน่น
                เจ้าของร้านหมูกะทะ ร้านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ราคาเนื้อหมูแพงถึงกิโลละร้อยกว่านั้น แต่ละคนอยู่ในภาวะกลืนไม่ได้ คายไม่ออก เพราะชื่อก็บอกว่าเป็นบริการแบบบุฟเฟต์ ดังนั้นเมื่อราคาของขึ้น แต่เวลาคิดราคาต่อหัวยังเท่าเดิม กำรี้ กำไร เริ่มเดินถอยหลังห่างไปทุกที
                พอผีซ้ำ ต้องแถมด้วยด้ำพลอย หมูแพงเสร็จมาเจอโรคไข้หวัดหมู คราวนี้ทุกร้านเริ่มก้าวเข้าสู่ ยุคลำเข็ญตัวจริง เสียงจริง ครั้งจะแก้ปัญหาด้วยการขึ้นราคา เพื่อให้ร้านอยู่ได้
                ก็กลัวว่า ร้านของตนจะแปลงร้านเป็นป่าช้า ไม่มีลูกค้าเข้ามารับประทาน แต่ถ้าจะอยู่อย่างนี้ ก็เตรียมตัวเก็บฉาก โบกมือลา ถ้าสายป่านไม่ยาวจริง
                ถือเป็นวิกฤติครั้งล่าสุด ที่ทุกร้านต้องประสพและเอาตัวรอดให้ได้
                ตอนนี้ถ้าใครมาเอ่ยประโยคที่ว่า เฮ้ย....เรื่องแค่นี้ หมูๆว่ะ  รับรองว่าเจ้าของร้านหมูกระทะทั้งหลาย จะมองด้วยหางตา และสายตาดุดันเป็นพิเศษ
                                                                                                                กุนซือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น