วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วาเลนไทน์ 14/2/2551


              ย้อนหลังไปในยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น เชื่อมั้ยครับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ เหมือนกับที่เราๆท่านๆเข้าใจในวันนี้  ประวัติศาสตร์เขียนเอาไว้ว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ในยุคของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน่ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน
                 นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันถัดมา คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชายหนุ่มก็คือ การจับฉลาก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ชื่อของเด็กสาวจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษและใส่ลงในไห ชายหนุ่มแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อเลือกคู่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บ่อยครั้งที่หนุ่มสาวต่างถูกใจกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา
          ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องมาจาก ไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด
                เจอกฏเหล็กอย่างนี้ คนที่เดือดร้อนก็ไม่ใช่ใครอื่นก็ประชาชนตาดำๆทั้งหลาย โดยเฉพาะกลุ่มหนุ่ม-สาว  จนในที่สุดเหมือนมีพระมาโปรด พระรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ มองเห็นปัญหานี้ ก็เลยเดินหน้าแอบจัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่  ผู้คนก็แห่แหนมาให้ท่านทำพิธี จนข่าวรั่ว พอข่าวรั่วก็เป็นเรื่องทันที พอขัดขืนคำสั่งของกษัตริย์ ไม่ต้องถามก็เดาออก งานนี้ไม่ติดคุกหัวโตก็ประหารลูกเดียว
                พอโดนจับโจนเข้าคุกเพื่อทรมาณ ไม่น่าเชื่อว่า อำนาจความรักมันยิ่งใหญ่  ตอนที่ถูกจองจำ เซนต์วาเลนไทน์ ยังไปแอบปิ้งมีความรักกับลูกสาวของผู้คุม ซึ่งเป็นหญิงตาบอดเข้าให้อีก แหม...กรมข่าวลือทำข่าวรั่วเข้าหูกษัติย์คลอดิอุสที่ 2 เข้าอีก คำสั่งลงมาเปรี้ยงจากเบื้องบน ว่านำตัวไปประหารในบัดดล วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว
                ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจในความรักของเขา ยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันแห่งความรัก" Saint Valentine's Day หรือ Valentine'sDay และได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกา รวมทั้งในทวีปเอเชียด้วย
                ของขวัญที่นิยมให้กันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ ก็คงหนีไม่พ้นดอกกุหลาบ  แต่เชื่อได้ว่าหลายคนยังไม้รู้ความหมายของดอกกุหลาบสีต่างๆ เช่นกุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ    ถ้าเป็น กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
                กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุดกุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข   แต่ถ้ามอบ กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย  และกุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
                ตอนเป็นเด็กนุ่งขาสั้น พอใกล้ถึงวันวาเลนไทน์เมื่อไหร่  หัวใจมันเต้นในจังหวะ ระริก  ระรี้ ความฝันล่องลอยออกมาเป็นระยะว่า ปีนี้จะมีคนให้ดอกกุหลาบเราหรือเปล่า  รอแล้ว  รอเล่า หลายปีผ่านไป วี่แววยังไม่ปรากฏ ผมเลยเปลี่ยนกฏใหม่ว่า "ต้องให้ก่อน แล้วค่อยเป็นผู้รับ"   แต่คนไหนจะฝืนชะตาฟ้าได้ หลังจากลงทุนส่งดอกไม้ให้หญิงสาวหลายคน สุดท้ายกลับมาได้แค่สติกเกอร์รูปหัวใจแปะไว้ที่คอเสื้อ  ถือเป็นการค้าขายที่ขาดทุนยับเยิน
                โตขึ้นมาอีกหน่อยอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย  ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปว่า" ไม่มีใครชอบ ก็ไม่ตาย"  ผมเลยไม่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์อีกต่อไป เพราะรู้ว่าถ้ายังยึดถือเป็นวันสำคัญ อาจจะต้องเจ็บตัว เจ็บใจไปอีกนาน  วันหนึ่งหยิบแอปเปิ้ลจากบ้าน ใส่กระเป๋าเป้ แบบไม่ตั้งใจ พอไปเรียนเจอเพื่อนฝูงถามว่า วันนี้ให้ดอกไม้ใครแล้วหรือยัง 
นึกขึ้นได้ วันวาเลนไทน์ มาเยือนอีกแล้ว ปีนี้ต้องล้างอาถรรพ์  เมื่อความตั้งใจเด็ดเดี่ยว สองเท้าก็ก้าวออก  เดินดุ่มๆไปตามล่าหาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่แอบชอบ  เพราะความมั่นใจในตัวเองที่ว่า "ของดี ต้องแตกต่าง" เจอะหน้าเพื่อนหญิงปุ๊บ  ควักแอปเปิ้ลออกมาจากกระเป๋า ส่งให้พร้อมพยายามทำเสียงนุ่มคุ้นหู  "สุขสันต์วันวาเลนไทน์ ครับ"
                ได้ผล ครับ ได้ผล เธอทำหน้าเหมือนแมวสงสัย หยิบแอปเปิ้ลไปจากมือ  ความคิดอาจจะฟุ้งซ่านว่า ไอ้นี่มันบ้า หรือว่ามันเมา  เอาแอปเปิ้ลมาให้ตูในวันวาเลนไทน์ ก่อนเดินจากไป
                เพื่อนฝูงผมหลายคน ต่างพากันวิเคราะห์ว่าความสำเร็จของงานนี้อยู่ในอัตราเฉลี่ย ห้าสิบต่อ ห้าสิบ  เพราะคาดว่าคุณเธออาจจะนึกในใจว่า อย่างน้อยแอปเปิ้ลก็ดีกว่าดอกไม้
ตรงที่"แหลกล่าย"นั่นเอง
                                                                                                                                                                กุนซือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น