ว่ากันว่า คนไทยนั้นมีเอกลักษณ์ประจำตัวหลายอย่าง ที่หาไม่ได้ในชาติอื่น ประเภทเจอปุ๊ปรู้เลยว่าต้องเป็นคนไทยแน่ๆเลย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าอยู่เสมอ จนได้ชื่อว่า”สยามเมืองยิ้ม” ถึงแม้ปัจจุบันจะหุบๆลงไปบ้างเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่ส่วนใหญ่คนไทยก็ยังเป็นชาติที่”ยิ้มง่าย”อยู่เสมอ
นิสัย”เอ็นเตอร์เทน” ก็เป็นลักษณะเฉพะอีกแบบหนึ่ง คนไทยชอบงานสังสรรค์ การเลี้ยงฉลอง ชอบสนุกครึกครื้น งานบุญ งานบวช เชงเม้ง ตรุษจีน ตรุษแขก คริสต์มาส ฯลฯ ไม่ว่างานชาติไหน พี่ไทยร่วมแจมได้หมด
แต่ที่โดดเด่น และมีชื่อเสียงมายาวนาน จนทุกชนชาติอื่นรู้โดยทั่วกันว่าเป็นผู้ใดไม่ได้ นอกจากพี่ไทยเท่านั้นคือนิสัย”ไทยมุง”
จากการสำรวจทั่วโลก ไม่เคยมีประเทศไหนที่คนจะนิยม”มุง”กันมากกว่าคนไทย ถือว่าคนไทยเป็นต้นตำรับแบบสำบูรณ์แบบ เพราะถ้ามีจริง เราคงจะได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง
เราไม่เคยได้ยิน “มาเลเซียมุง” , “ลาวมุง”,”รัสเซียมุง”,”นามีเบียมุง”หรือ”เปอร์โตริโก้มุง”
สรุปแล้วโลกทั้งใบน่าจะมีเพียง”ไทยมุง”เท่านั้น
คนไทยเวลามีเรื่อง มีราวที่ไหน ก็จะเกิดปฎิกริยา”ไทยมุง”ขึ้นมาทันที คนไทยสามารถมุงได้โดยไม่เลือกหน้า ไม่ว่าเหคุการณ์นั้นจะอันตรายแค่ไหน ตอนเป็นเด็ก ผมกับอา สองคนโดนเลือด”ไทยมุง”ฉีดขึ้นสมอง แอบไปมุงดู คนยิงกัน ข้างบ้าน เรียกว่าเป็นการเสี่ยงตายเพื่อยึดมั่นในความเป็นไทย มาถึงตอนนี้นึกถึงเมื่อไหร่ เสียวไส้เมื่อนั้น
ยี่สิบกว่าปีก่อน ซูโม่ตู้ แห่ง”ซูโม่สำอางค์” เคยพูดออกรายการเอาไว้น่าฟังว่า ในเมื่อคนไทยชอบ”มุง” เราควรจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
โดยการตั้ง บริษัท “รับจ้างมุง”จำกัด ขึ้นมา
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยให้บรรยากาศไทยมุง มีรสชาติมากยิ่งขึ้น อาทิ เกิดรถชนโครม บริษัทก็จะส่งพนักงานเข้าไปร่วมมุง กับประชาชนทั้งหลาย พร้อมทั้งอาจจะมีการวิพากษ์ วิจารณ์ประกอบการมุง เพื่อสร้างอรรถรสให้กับบุคคลรอบข้าง
แหม.....ช่างคิ้ด ช่างคิด นะเนี่ย
ด้วยความเป็นชนชาติไทย สัญชาติไทย อาการ”ไทยมุง”ก็เลยติดตัวผมมาตั้งแต่เด็กจนโต ที่ผ่านมาเขียนแปะข้างฝาได้ว่าประสบการณ์”ไทยมุง”อยู่ในระดับหลากหลายและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผัวตบเมีย รถชน วัยรุ่นยกพวกตะลุมบอน คนจมน้ำ แม่ค้าด่าตำรวจ ฯลฯ
บางครั้งไป”มุง”กว่าครึ่งชั่วโมง ยังไม่รู้เลยว่าไป”มุง”เรื่องอะไร เพราะเห็นคนจับตัวกันเป็นกลุ่มก็ขอ”แทรก”เข้าไปด้วย แถวบ้านเรียก”กลัวตกกระแส”
หลายปีก่อนตอนบ้านผมอยู่แถวสถานีรถไฟ วันหนึ่งเกิดไฟไหม้ โกดังสินค้าข้างๆบ้าน ไฟลุกโชน เสียงดังลั่น หน่วยดับเพลิงทั่วเชียงใหม่ระดมพลเพื่อมาดับเพลิงในครั้งนี้ เพราะสินค้าในโกดังเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เพลิงก็เลยทำท่าว่าจะไม่สงบลงง่ายๆ
และแน่นอนครับ “บ้านใกล้ย่อมได้เปรียบ” ผมรีบวิ่งมา”มุง”เป็นคนแรกๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศ เผื่อคนอื่นอยากทราบรายละเอียด จะได้ชี้แจงแถลงไข ได้อย่างถูกต้องว่าที่มา และที่ไป เป็นอย่างไรตามประสา”ไทยมุง”ที่ดี
ครี่งชั่วโมงต่อมา ไฟก็ยังไม่สงบ แต่ผู้คนจากช่วงแรกไม่กี่สิบคน กลายเป็นร้อย และมีทีท่าว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการประชาสัมพันธ์แบบ”ปากต่อปาก”
ซักพักมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เบือนหน้ามาถามผมว่า “ไฟไหม้มานานหรือยังครับ”
เหมือนเสียงสวรรค์ เพราะผมรอบรรยาย”ภาพและสียง”มาเกือบชั่วโมง รีบเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้น พร้อมกับ”ฟันธง”ประกอบว่า ถ้าบรรดาเบียร์ และโซดา ที่กองสูงกว่า 10 ชั้นถล่มมาเมื่อไหร่ รับรองว่างานนี้ ดูไม่จืดแน่นอน
ก่อนจะวกซักถามข้อมูลส่วนตัวว่า บ้านพี่อยู่ไหน รู้ได้อย่างไร ถึงเข้ามาร่วม”ไทยมุง”กับ”พลพรรครักมุง”ทั้งหลาย
“อยู่สนบวกหาด”คือคำตอบ ผมถามต่อว่า”มาทำธุระแถวนี้เหรอครับ ถึงได้รู้ว่ามีไฟไหม้” เพราะคำนวณระยะทางแล้ว สวนบวกหาดกับสถานีรถไฟ มันห่างกันประมาณหัวเมืองกับท้ายเมือง
คำตอบสุดท้ายที่ได้คือ”เปล่าหรอกครับ พอดีนั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นรถดับเพลิงวิ่งผ่าน คิดว่าต้องมีไฟไหม้ที่ไหนซักที่ ก็เลยคว้ามอเตอร์ไซต์ขับตามท้ายรถดับเพลิงมาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ แหละ ไกลหน่อยแต่ก็ได้เห็น..”
“โห..ขอประสานมือคาราวะ....นับถือ นับถือ และนับถือ เอาไปเลย...ตำแหน่งไทยมุงประเภทยอดเยี่ยม ครับคุณพี่”
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น