เมื่อโลกใบนี้จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานหลักเป็น “น้ำมัน” ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ว่าน้ำมันจะเป็นปัจจัยหลักอันดับต้นๆที่มีผลต่อการพัฒนาของประเทศต่างๆในโลก
อย่างที่ทราบ”น้ำมัน”เป็นทรัพยาการธรรมชาติ ที่จัดอยู่ในประเภท ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้อีก ดังนั้นเมื่อผู้คนบนโลก มีการใช้พลังงานกันอย่างฟุ่มเฟือย ไม่มีการประหยัดและใช้อย่างเหมาะสม ดังนั้นปริมาณน้ำมันที่อยู่ใต้พื้นโลก ก็ร่อยหรอ และลดลงไปเรื่อยๆ จนมีผู้คาดการณ์ว่าถ้าประชากรของโลก 6 พันล้านคน ยังคงใช้น้ำมันกันอย่างฟุ่มเฟื่อย เท่ากับปัจจุบัน
ในอีก 50 ปีข้างหน้า เราอาจจะไม่มีน้ำมันเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
ดังนั้น จึงมีการเสาะพลังงานในรูปแบบใหม่ๆ มาเพื่อทดแทน น้ำมัน เผื่อที่จะหาทางแก้ปัญหานี้ในอนาคต อย่างไรก็ตามพลังงานาหลักที่ยังใช้อยู่ในปัจจุปันนี้อาจที่เห็นผู้คนนิยมมาใช้ก็คือ น้ำมันและถ่ายหิน ซึ่งถือเป็นพลังงานที่ไม่สะอาด และก่อให้เกิดมลพิษต่อโลก
ดังจะเห็นได้ในปัจจุบันที่มีการหยิบยก ปัญหาโลกร้อน เข้ามาพูดในเวทีนานาชาติ เพราะปัญหาโลกร้อนนั้น เริ่มเข้ามากระทบกับวิถีชีวิตผู้คนบนโลกเรื่อยๆ และสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายอย่างมากมายมหาศาล
ประเทศที่สร้างมลพิษมากที่สุดนั้นก็คือยักษืใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริการ เนื่องจากเป็นประเทศอุตสาหกรรม ดังนั้นมลภาวะที่เป็นพิษ อันเกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมนั้นในแต่ละปีมีมากจนกราฟบ่งบอกว่า ลุงแซมสร้างมลพิษสูงกว่าประเทศอื่นๆเกือบ 2 เท่า
แต่อเมริกาเอง ที่ผ่านมาก็พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงปัญหานี้ เพราะกระทบต่อนักลงทุนทั้งหลาย ที่เบื้องหลังก็เป็นฐานเงินทุนสำหรับนักการเมืองของอเมริกันชน
แต่อเมริกาเอง ที่ผ่านมาก็พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงปัญหานี้ เพราะกระทบต่อนักลงทุนทั้งหลาย ที่เบื้องหลังก็เป็นฐานเงินทุนสำหรับนักการเมืองของอเมริกันชน
รองลงมาก็คือยักษ์ใหญ่ คนใหม่ของโลก ประเทศจีน จีนเองเหมือนกับยักษ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล พอจีนแง้มประตูเปิดประเทศมากขึ้น ความเจริญต่างๆก็ไหลเท เข้ามาลงทุนในประเทศนี้กันอย่างครึกโครม แถมเมืองจีนนั้นพลังงานหลักที่ใช้ผลิตไฟฟ้า นั้นจะเป็นพลังงานที่ได้มาจากถ่านหิน ซึ่งมีมากมายอยู่ใต้แผ่นดินจีน ดังนั้นมลพิษที่ก่อเกิดในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้ มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของโลก
เหมือนกับระบบลูกโซ่ ที่มีความผูกผันกัน เมื่อมนุษย์ทำร้ายธรรมชาติ ในที่สุด ธรรมชาติก็หันมาเล่นงานมนุษย์เช่นกัน ปรากฏการณ์โลกร้อนที่ผ่านมา อุณหภูมิบนโลกสูงขึ้น แภทภัยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพายุและดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น
เฮอร์ริเคน “แคทรีน่า”ที่พัดกระหน่ำตอนใต้ของอเมริกา จนบ้านเมืองทั้งเมืองพังยับ ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็ทำลายแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ตั้งอยู่ในอ่าวเม็กซิโกไปด้วย
น้ำมั้นที่ผู้คนบนโลกใช้กันทุกวันนี้ ส่วนใหญุ่ขุดขึ้นมาจากตะวันออกกลางใต้ผืนทะเลทรายและความแห้งแล้ง อีกส่วนหนึ่งขุดขึ้นมากจากใต้ทะเล เมื่อแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลมีความเสี่ยงที่จะเสียหายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภัยธรรมชาติ แถมดินแดนตะวันออกกลางที่เป็นแหล่งใหญ่ก็เกิดภาวะสงคราม และสงครามกองโจร ก็ทำให้ปริมาณการผลิตนั้นลดต่ำกว่าเดิม
เมื่อ”ดีมานด์” มีมากกว่า”ซัพพลาย” ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าราคาน้ำมั้นจะเริ่มขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมในอดีตที่อยู่ประมาณ 23-24 เหรียญต่อบาร์เรล ตอนนี้ก็พุ่งไปจนคาดการณ์ไม่ได้ นักวิเคราะห์หลายคนพยากรณ์เอาไว้ว่า ในชีวิตนี้ เราๆท่านๆอาจจะเห็นน้ำมันราคาทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรลก็เป็นได้
ประเทศไทยนั้นได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่”นำเข้า”น้ำมัน ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะมีผลิตได้นิดหน่อยจากบ่อน้ำมันที่อำเภอฝาง แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ของผู้คนทั้งประเทศ
จากการที่ต้องนำเข้าน้ำมันนี่เอง เมื่อราคาน้ำมันขยับตัวเมื่อไหร่ ประเทศไทยก็ต้องบาดเจ็บตามไปด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน เป็นฐานในการผลิตสินค้าและขนส่ง
ดังนั้น ผู้ประกอบการทั้งหลายก็มักจะผลักภาระนี้ไปสู่มือผู้บริโภค เพราะสามารถอ้างได้ว่า จำเป็นต้องขึ้นราคาตามภาวะน้ำมันแพง แต่ในการขึ้นราคาของผู้ผลิตนั้นส่วนใหญ่เป็นการขึ้นราคาแบบเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่เสมอ
เช่นน้ำมันขึ้นราคา 90 สตางค์ อาจจะทำให้ต้นทุนผลิตสินค้าแต่ละชนิดมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 25 สตางค์ต่อชิ้น และเมื่อผู้ผลิตอ้างเหตุน้ำมันแพง มาเป็นข้ออ้างในการขอขึ้นราคาสินค้า ราคากลับเพิ่มขึ้นหลายเท่า เช่นสินค้าราคา 10 บาท เมื่อน้ำมันแพง ต้นทุนเพิ่มขึ้นชื้นละ 25 สตางค์ แต่ผู้ผลิตกลับขึ้นราคาเป็นชิ้นละ 12 -15 บาท
ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างมาก ในขณะเดียวกันเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของโลก ก็มักจะบีบ และล๊อบบี้ “โอเปค”ให้มีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรโลก
เมื่อกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น ราคาก็จะต่ำลงกว่าเดิม เมื่อราคาน้ำมันลดต่ำลง ต้นทุนของผู้ผลิตทั้งหลายก็ลดต่ำลงตามไปด้วย แต่จะสังเกตว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ผลิตอ้างราคาน้ำมันเพื่อขอขึ้นราคาสินค้า แต่เมื่อราคาน้ำมันลดลง ไม่มีผู้ผลิตรายใดยอมลดราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหว ส่วนใหญ่จะตรึงราคาอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้เกิดภาวะน้ำมันแพงรอบใหม่ และถือโอกาสขึ้นราคาอีกครั้งหนึ่ง
รัฐบาลเอง ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลสินค้าอุปโภค บริโภค จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ต้องทำตัวให้เป็นกลางระหว่าง ผู้ผลิตและผู้บริโภค ในกรณีที่เกิดผลกระทบเกี่ยวกับราคาน้ำมัน การหาสูตรที่ลง
ตัวที่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยการใช้มาตรการเข้ามากำกับดูแล อาทิ เช่นเมื่อน้ำมันแพงทำให้ ต้นทุนในการผลิตพุ่งสูงขึ้น รัฐอาจจะเข้ามาอุ้ม โดยหยิบอุตสากรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดมาช่วย เพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมนั้นๆล้มหาย ตายจาก
อาจจะอยู่ในรูปแบบของการให้กู้ยื่ม ปลอดดอกเบี้ย หรือลดภาษี ฯลฯ เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถดำเนินกิจการผ่านพันภาวะวิกฤติดังกล่าวไปให้ได้ หรืออาจจะยอมให้ผู้ผลิตขึ้นราคาสินค้าได้ แต่ต้องเป็นราคาที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ที่ผลักภาระให้ผู้บริโภคแต่ฝ่ายเดียว
แต่เมื่อใดที่ภาวะ”น้ำมันแพง”ได้รับการคลี่คลายแล้ว ผู้ผลิตจะต้องกลับมายืนในจุดเดิม เพื่อให้ราคาสินค้าตรงกับสภาพความเป็นจริงในช่วงขณะนั้น
เขียนเป็นสูตรง่ายๆได้ว่า ราคาสินค้า = ต้นทุนสินค้า+กำไร+ภาวะความผันผวนของราคาน้ำมัน
นั่นถือเป็นการบริหารจัดการแบบ”วิน-วิน”ได้ทั้ง 2 ฝ่าย
เพราะคนไทยนั้นเข้าใจว่า เราเป็นประเทศที่ยังต้องพึ่งพาน้ำมัน ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ำมันแพงนั้น สามารถรับได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่บาปทั้งหมดตกอยู่กับผู้บริโภคเหมือนกับที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น