สัปดาห์ก่อนไปกรุงเทพมาครับ หลังจากที่ห่างหายไม่ได้ไปเยี่ยมเมืองหลวงมานาน กรุงเทพนาทีนี้ ยังคงเป็นกรุงเทพเหมือนเดิมสำหรับ ความคิดของผม คือไม่น่าอยู่ ชีวิตผู้คนสับสนวุ่นวาย จะไปไหนแต่ละที ต้องใช้วิชาบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้อง ออกกี่โมง ไปถนนไหน โทรศัพท์หาเพื่อนตลอดเวลาว่า เพื่อเช็คว่า ตัวเองยังไม่หลงทาง
ชีวิตแบบเด็กดอย ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงที่จะพำนักอาศัยในบางกอกแห่งนี้
ไปครั้งนี้ได้พบสัจธรรมอีกข้อ สำหรับความแตกต่างระหว่าง “กรุงเทพ”กับ”เชียงใหม่”
นอกเหนือจากห่างกันด้วยระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ผมยังพบข้อเท็จจริงอีกอย่างว่า “เงิน”ที่กรุงเทพ “ใบเล็กกว่าเงินที่”เชียงใหม่”
กินข้าว ชามละ 30 บาท จะได้คุณค่าและปริมาณเท่ากับ 17 เคี้ยว 4 กลืน วูบเดียวก็เกลี้ยงจานแล้ว
ยิ่งถ้ามาเทียบกับอัตราการท่องราตรีที่กรุงเทพกับเชียงใหม่ ยิ่งเห็นความแตกต่างได้เด่นชัด นัดเพื่อนที่กรุงเทพสังสรรค์ ที่ร้านดังแถวหลังสวนฯ ในฐานะ”บ้านนอกเข้ากรุง” เลยถือคติที่ว่า “ไปถึงก่อนเป็นยอดมนุษย์” นั่งแท็กซี่จากที่พักไปตั้งแต่เย็นย่ำตะวันตกดิน เข้ามาร้านเปิดเมนูสั่งเหล้า เห็นราคาแล้วต้องสะบัดหน้า รีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนว่า ราคาที่เขียนในเมนูนั้นราคาเป็นเงินบาทหรือว่าเงินกีบ ก่อนเสียงตอบมาตามสายว่า”เงินบาทพันเปอร์เซ็นท์ครับ...คุณเสี่ยว”
กลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วยอมสั่ง”เหล้าวิเศษ”มา 1 ขวด พร้อมสมองเริ่มคำนวณ บวก ลบ คูณ หาร ก่อนจะได้คำตอบสุดท้ายที่ว่า อัตราส่วนสำหรับการกินเหล้าที่กรุงเทพ 1 เมา เท่ากับ 6 เมาที่บ้านเกิด
คืนนั้น รู้รสชาติของชีวิตการกินเหล้าที่ว่า “ไม่เมา แต่...ต้องเมา”เพราะถ้าไม่ยังขืนทำตัวไม่เมาต่อไปอีก เงินในกระเป๋าอาจจะอันตรธานหายไปในพริบตา จนอาจจะทำสถิติใหม่ที่ว่า ค่าเหล้าเท่ากับเงินเดือน
เดินแฉลบไปแถวมาบุญครอง ข้ามมาฟากสยามฯ ผมเจอความท้าทายครั้งใหม่ ถือเป็นประสบการณ์ตรงที่ต้องนำเล่าขาน ใครที่เคยไปแถวนั้น ถ้ามีโอกาสเดินเล่น ผมขอแนะนำไปชิมอาหารร้านดังร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชา “ร้านรสดีเด็ด” ไปไม่ถูกถามคนแถวนั้น รับรองว่าชี้นิ้วบอกได้ทุกคน
“ลิ้นจระเข้”อย่างผม มีโอกาสไปนั่งลิ้มชิมรสกับเพื่อน นั่งหย่อนก้นปุ๊ป “อาเฮีย”ใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงขาสั้น คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้าน เดินโฉบเข้ามารับออเดอร์ทันที เพื่อนผมนั่งมองเมนูที่เขียนติดอยู่ตรงผนัง พร้อมกับเอ่ยปากตามมารยาทว่า”รอแป๊ปนึง นะครับ”
เสียงสวนกลับมาทันที เหมือนเครื่องตอบกลับอัตโนมัติ “ไม่เป็นไร เมื่อไหร่ก็ด้ายยยย ว่างอยู่แล้ว พร้อมสั่งเมื่อไหร่ ตะโกนบอกได้เล้ยยย” พูดจบพร้อมกับเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่ผมกับเพื่อนที่ยังทำหน้า”แมวสงสัย”ว่า อาเฮียแกเล่น”มุข”หรือว่า”ชีวิตจริง”
ไตร่ตรองเสร็จ เรียกเฮียกลับมารับออเดอร์ ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมของผมแต่ชาติปางก่อนหรือไม่ ที่ยังไม่”GET” ผมดันสั่ง “เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อสดไม่ใส่ถั่วงอก” เหมือนเจอร์ราร์ดเตะสุกรเข้าปากสุนัข ปฏิบัติการ”เสียดสีลูกค้า”เริ่มต้นอีกครั้ง
อาเฮียส่งเสียงดังลั่นกลางร้าน ประมาณว่าทุกคนต้องรู้ และต้องเข้าใจ ก่อนหันหน้าไปสั่งลูกน้องที่ลวกก๋วยเตี๋ยว”เส้นหมี่ชิ้นสด ไม่งอก....... กินถั่วงอกไม่เป็น....ดีเหมือนกัน....ไม่ต้องปลูก”
แหม....หน้าชาไปหน่อย แต่ยังพอรับได้ เพราะถ้าเฮียเกิดของขึ้นตะโกนว่า”เส้นหมี่ชิ้นสด ....ของเด็ก”สงสัยต้องเอาหน้ามุดโต๊ะในบัดดล
ก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวด้วยความรัดทด แต่ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะเริ่มสังเกตว่า ลูกค้าของอาเฮียแต่ละคน เป็นต้องโดนปฏิบัติการนี้ ไม่มากก็น้อย คละเคล้ากันไป เสียงเฮียยังคงเป็นเสน่ห์ดังกังวานเป็นเอกลักษณ์ต่อไป ”เฮ้ย....เส้นเล็กรวม ไม่เอาเส้นใหญ่ ถ้ามีเส้นใหญ่กูกินเอง...”ฯลฯ
ผมอมยิ้มกินก๋วยเตี๋ยวต่อไป แต่ยังดันพลาดอีกช๊อต เพราะดันสั่งต่อ”เส้นหมี่ลูกชิ้น ไม่งอก..เฮีย”
ซึนามิ เข้ามาถล่มผมอีกระลอก เสียงตะโกนจากข้างหลังผม”เส้นหมี่ชิ้น ไม่งอกอีกชามโว๊ย.....เหอ เหอ ไม่งอก....เหอ เหอ ไม่กินถั่วงอก” เสียงเหยียดหยัน ถากถาง จนผมเพิ่งรู้ตัวว่าบางครั้งถ้าอยากมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ ผมต้องหัดกิน”ถั่วงอก”ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคไหนอยากทำลายความมั่นใจพรรคคู่แข่ง ผมขอแนะนำไปดึงตัวอาเฮีย”จอมกระแนะกระแหน”แห่งสยามฯมาเข้าก๊วน รับรองว่าเห็นผลใน 3 วัน 7 วัน แน่นอน
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น