นักจิตวิยาและนักเดาวิทยาทั้งหลาย จับมือลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า อันมนุษย์ปุถุชนคนไทยทั้งหลายนั้น เมื่อมีปัญหา ต้องการคำปรึกษาเมื่อไหร่ บุคคลแรกที่แวบเข้ามาในสมองที่จะเข้าไประบายหรือปรึกษาหารือ จะสะกดชื่อได้เหมือนกันคือ “เพื่อน”
ฝรั่งมังค่า อาจจะเดินเข้าหา”นักจิตวิทยา” นอนลงบนเตียง เล่าระบายเรื่องราวในชีวิต ก่อนที่อีก 1 ชั่วโมงต่อมาต้องออกมาจ่ายเงิน สนนราคาแบบแพงหูฉี่
ก่อนจะเดินออกจากคลินิกหมอแบบมึนๆ ทำหน้าเหมือน”แมวสงสัย” แล้วเดินไปนัดหมายเวลาในอาทิตย์ต่อมา เพื่อจะกลับมาเล่าเรื่องชีวิตของตัวเองให้หมอฟังอีกรอบ พร้อมเบิกเงินมาอีกเต็มประเป๋า
ถือว่าเป็นการ”เล่า”เรื่องชีวิตของตัวเอง ที่แพงที่สุดในโลก
แต่ที่นี่......เมืองไทย ทุกครั้งที่มีปัญหา ก็เริ่มฮัมเพลงโฆษณาสี เจ.บี.พี
เจ.บี.พี ............. “จึงบอกเพื่อน”
เป็นการดำเนินชีวิตภายในใต้นโยบาย”เศรษฐกิจแบบพอเพียง”แบบเห็นเป็นรูปธรรมและนามธรรม
ข้อดีของ”เพื่อน”คือ สามารถโทรเรียกได้ทุกเมื่อ และสำคัญที่สุดคือ”ไม่เสียค่าใช้จ่าย” โดยอ้างประโยคศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า” มีเพื่อน.....เอาไว้ทำไม”
มีปัญหาเมื่อไหร่ อย่าได้เกรงใจ โทรเรียกใช้ได้ทันที
“หนุ่มเมืองจันท์”แห่งค่ายมติชน เคยเขียนถึงเพื่อนได้อย่างน่าฟัง และมีคติสอนใจว่า “เพื่อนมีหลายแบบ เคล็ดลับมีอยู่ว่า ถ้าเพื่อนคนไหนรวย อย่าพยายามทำตัวเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ต้องหาทุกวิถีทางเป็น”เพื่อนสนิท”ให้ได้
อ่านแล้วเห็นภาพ และต้องรีบปฏิบัติตาม
ตั้งแต่เด็กจนโต ผมค่อนข้างมีเพื่อนมาก เนื่องจากเรียนอยู่ในโรงเรียนชายล้วน ตีหัว ด่าพ่อล้อแม่ กันมาตั้งแต่เด็ก จึงค่อนข้างมี”เพื่อนสนิท”ค่อนข้างมาก โดยไม่ต้องอาศัย”ฐานะ”มาช่วยเป็นปัจจัยดึงดูด
เพราะถ้าใช้”ฐานะทางด้านการเงิน”เข้ามาเป็นส่วนประกอบ บรรดาเพื่อนสนิททั้งหลายที่มีอยู่ อาจจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างสถานะกลายเป็นเพียงแค่”คนรู้จัก”กันไปหมด
เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยง ท่องคาถาว่า”สำหรับเพื่อนกันน้านนนนน เงินทองยืมกัน ความสัมพันธ์ยังคงเดิม”
ช่วงเรียนอยู่ประถม คุณครูชอบถามในห้องเกี่ยวกับความฝันของเด็กแต่ละคนว่า “โตขึ้นมา อยากเป็นอะไร”
หลับตาก็เดาถูกครับ ยุคผมสมัยนั้น ส่วนใหญ่ประสานเสียงว่า อยากเป็นหมอ รองลงมาก็อยากเป็นวิศวกร บางคนชอบเครื่องแบบก็หนีไปทางโซนเป็นทหารบ้าง เป็นตำรวจมาก คละเคล้ากันไป
ผมแอบมานั่งคิด เอาอาชีพทั้งหลายมาวางแผ่ตรงหน้า วิเคราะห์เป็นรายสาขาอาชีพ เป็นหมอนั้นเลิกคิด เพราะติดอยู่ปัญหาเดียวคือความฉลาด และความขยัน ที่ยังไม่มีวี่แววเกิดขึ้นในตัวผม
เป็นวิศวกร ก็ดูเข้าท่าเข้าทาง แต่อุปสรรคที่ขวางหน้าคือผมเกลียดวิชาคณิตศาสตร์ เลยปลอบใจตัวเองว่าอาชีพนี้ไม่เหมาะกับชีวิตผมเป็นแน่แท้
นั่งคิด ตีลังกาคิด จนสุดท้ายมีเสียง”ปิ๊ง”ขึ้นในสมอง เหมือนหนังการ์ตูนเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญา
ใช่เลย นี่เลย ผมต้องเป็น”หนอนหนังสือ”
เพราะการเป็น”หนอนหนังสือ”ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แถมไม่ต้องใช้พรสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีใครมานั่งจับผลงาน และไม่ต้องเสี่ยงกับเรื่องจรรยาบรรณ ที่เป็นกฏ กติกา ควบคุมอยู่ แค่หาหนังสืออ่านไปเรื่อยๆ ถ้าใครมาถามว่าโครงการ”หนอนหนังสือ”ไปถึงไหนแล้ว
ตอบเพียงสั้นๆว่า “กำลังดำเนินการอยู่”
ตัดสินใจด้วยความมั่นคง ผมเริ่มเดินหน้าสานฝันทันที เริ่มแรกจากปรับเปลียน”ลุค”ตัวเองจากเดิม เลิกอ่านหนังสือ”การ์ตูน” แล้วหันมาอ่านหนังสือนิยายแทน
เพื่อนฝูงหลายคนเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ เพราะตอนนั้นอยู่ ป.4 ทุกคนยังสนุกอยู่กับการอ่านการ์ตูน แต่ผมต้องโชว์ว่า เราก้าวผ่านขั้นนั้นมาแล้ว ใครอ่านการ์ตูน โถ....เด็ก เด็ก
อ่านไป อ่านมา เริ่มติดใจ เพราะหนังสือเล่มนั้นหน้าปกเขียนว่า” หัสนิยาย พล นิกร กิมหงวน” ใครเคยอ่านชุดสามเกลอ ก็คงเข้าใจได้ไม่ยากว่า หนังสือนั้นสนุกสนานน่าอ่านแค่ไหน
ขั้นต่อมาเริ่มหันไปหานิยายกำลังภายใน ตะลุยอ่านนิยายกำลังภายในจนปวดหัว อ่านจนเดา”ธีม”ของเรื่องได้ เพียงแค่อ่านบทแรก สมัยก่อนนิยายกำลังภายในนั้น ไม่ทราบว่าใครไปกำหนดโครงเรื่องเหมือนไปเรียนหลักสูตรเดียวกันมา
ประมาณว่า เปิดฉากมาเสียงร้อยโหยหวน”ใคร......ใครฆ่าท่าพ่อ” จากนั้นเด็กน้อยก็ระหกระเหิน เดินดงผจญภัยในยุทธจักร จับผลัดจับพลูก็ตกลงไปในเหวลึก แต่ดันไปติดอยู่ที่ต้นไม้ที่งอกออกมาบริเวณกึ่งกลางหน้าผาสูงชัน เสร็จสรรพจะต้องมีถ้ำๆหนึ่งอยู่ที่ผานั้น พอมุดเข้าไป อ้าว...เจอเลย สุดยอดฝีมือ จอมยุทธที่ดันถูกตัดเอ็นแขน,ขา อยู่ในถ้ำมาหลายสิบปี(ไม่รู้ว่าอยู่รอดมาได้อย่างไร ข้าวน้ำ ก็ไม่มีให้กิน) จอมยุทธเห็นเด็กน้อยมีโครงสร้างดี จึงถ่ายทอดสุดยอดวิทยายุทธให้ สอนเสร็จก็ต้องมีอันเป็นไป ตายไปในบัดดล ทั้งๆทีก่อนหน้าก็ไม่มีวี่แววว่าจะป่วยจะไข้ เด็กน้อยเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปงาม กระโดดเหาะเหินเดินอากาศขึ้นมายังปากเหวสำเร็จ ก่อนตามไปล้างแค้นศัตรู..................ฯลฯ
อ่านนิยายจีนจนอิ่มตัว เริ่มหันมาอ่านหนังสือประเภทอื่นบ้าง เป็นหนังสือแปล นวนิยายไทย แต่ที่ถูกใจที่สุดคือหนังสือที่เกี่ยวกับความลี้ลับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จานบิน ปิรามิด สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าฯลฯ
เพราะอ่านแล้วมันไม่จบ เวลาหยิบเรื่องเหล่านี้ไปถกเถียงกับเพื่อนๆ มักจะได้มุมไอเดียแปลกๆกลับมาเสมอๆ ถือว่าเป็นการอ่านหนังสือแบบ”ขยายความ” โดยมีเพื่อนช่วย
ในบรรดาเพื่อนที่ชอบการอ่านหนังสือ “โป๊ะ”เพื่อนสนิทที่เรียนกันมาตั้งแต่ ป.1 ตอนนี้เป็นนักธุรกิจทำกิจการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ “โป๊ะ”สถาปนาตัวเองเป็นหนอนหนังสือก่อนผม เพราะอ่านได้ครอบคลุมกว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัย โป๊ะ แปลงร่างตัวเองเป็นหนุ่ม”5 ย” ผมยาว เสื้อยืด นุ่งยีน สะพายย่าม สวมรองเท้ายาง
“โป๊ะ” เป็นคนอ่านหนังสือ”จัดจ้าน”คนหนึ่ง มีช่วงหนึ่งบ้าอ่านปรัชญา โยนปรัชญามาให้ผมอ่าน เพื่อที่จะมานั่งถกกันข้างวงเหล้า ว่าปรัชญาไหนดีที่สุด
ด้วยความบ้าปรัญญา โป๊ะ เลยต้องทำบุคลิก ให้ดูสุขุม นุ่มลึก อ่านยาก เพราะดูแล้ว”ขลัง” บุคลิกแบบนี้เองที่ทำให้”โป๊ะ”ต้องหาประโยคคำพูดที่ดูมี”พลังและเข้าถึงจิตวิญญาน” มาใช้ในบทสนทนา
ครั้งหนึ่งหลังผมนั่งดื่มกับโป๊ะ จนอาการเมามายเริ่มมาเยือน เอ่ยปากถามโป๊ะว่า”เฮ้ย มึงเมาหรือยัง”
โป๊ะ ค่อยๆเงยหน้ามอง ก่อนกระดกเหล้าแก้วนั้นหายวาบ ในลำคอ พร้อมหลุดประโยคสั้นๆแต่เปี่ยมด้วยพลานุภาพว่า
“มี แอลกอฮอลล์”
สั้นๆ ได้ใจความ แต่แปลไม่ออกเหมือนเดิมว่า
“ตกลง มึงเมาหรือไม่เมา”
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น