ถ้าหลับตาถอยหลังไปประมาณ 10 ปีก่อน หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่า ชีวิตเมื่อก่อนกับตอนนี้แตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ถั่งโถมเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง ทำให้ชีวิตแบบไทยๆต้องพลอยปรับเปลี่ยน แปรสภาพไปจากเดิม แทบจำไม่ได้
ถ้าไปตะโกนบอกเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า เชื่อหรือไม่ว่าอนาคตเมืองไทยนั้น เด็กป.1 หรือ ป.2 ก็มีมือถือใช้กันแล้ว รับรองต้องโดนบอกว่าคนนี้ไม่บ้า ก็ต้องฝันเฟื่อง
จำได้ว่าเมื่อประมาณปี 2527 ผมตัดสินใจซื้อเพจเจอร์ มาเครื่องหนึ่งสนนราคาตอนนั้นอยู่เครื่องละ หมื่นกว่าบาท พกติดเอวเดินไป เดินมา รู้สึกตัวเอง”หล่อ”แบบไม่ทราบเหตุผล
แต่ละชั้วโมง ก็ต้องขยับเพจเจอร์มาดู พร้อมกับร่ำร้องในใจว่า เมื่อไหร่จะมีใครเพจมาหาบ้าง ถือว่าเป็นความสุขของชีวิตในแต่ละวัน จะมีมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเพจเจอร์ที่ดังในแต่ละวัน
จะคุยกับเพื่อนก็ต้องทำตัวให้”ทันสมัย” คือใช้บริการศูนย์”โฟนลิ๊งค์”ให้ส่งข้อความถึงเพื่อนแทนการโทรไปคุยเหมือนเก่า ครั้งหนึ่งเพื่อนผมเพจเข้ามาส่งเสียงตามข้อความว่า”ตอนนี้อยู่บ้าน เธออยู่ไหน”
สองมือรีบยกหูโทรศัพท์กด 152 เข้าหาศูนย์โฟนลิ้งค์ ฝากข้อความว่า “ตอนนี้อยู่บ้านเหมือนกัน คืนนี้จะไปเที่ยวที่ไหน” ไม่ถึง 2 นาที เพื่อนส่งความมาให้นัดพบที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ผมยกหูอีกครั้งส่งข้อความถามเวลาว่าจะไปเจอกันกี่โมง
ไม่ถึง 1 นาที มาอีกแล้ว เวลานัดหมายปรากฏบนจอเพจเจอร์ ผมส่งข้อความกลับไปอีกทีบอกว่าอย่ามาสาย แล้วให้นัดหมายเพื่อนๆบางคนมา”แจมด้วย
สุดท้ายคืนนั้น บนโต๊ะอาหาร หลังจากกรอก”น้ำเมา” พอได้ระดับ เริ่มเกิดอาการ”บรรลุ” ตั้งปุจฉาว่า
“ทำไม เมิงกับตู ต้องเสียเงินโทรเข้าหาศูนย์ด้วยวะ เพราะแต่ละคนก็รู้ว่าอยู่บ้านด้วยกันทั้งคู่ กดเบอร์บ้านโทรหากันไม่ง่ายกว่า ถูกกว่า แถมคุยได้นานตามที่ต้องการ” นับนิ้วคิดเงิน สรุปว่าแต่ละคนเสียคนละหลายบาท ว่าจะรู้เรื่อง
นี่ถือเป็นอิทธิพลของการสื่อสารในระยะเริ่มแรก หลังจากโทรศัพท์มือถือเริ่ม”ดีเดย์”บุกหัวหาด ช่วงแรกทุกคนเมินหน้ากันทั้งประเทศ เพราะราคาขายปาเข้าไปเครื่องละเกือบแสนบาท รูปแบบเป็นโทรศัพท์แบบ”หิ้วพกพา”เพราะเครื่องใหญ่เหลือหลาย เด็กๆยกทีอาจจะเกิดอาการ”ไหล่ทรุด”ได้
แต่ชั่วโมงนั้น คนใช้ต้องถือว่า”ไม่ ธรรมดา” ไม่รวยจริงอย่าได้หวังว่าจะได้สัมผัส ต่อมาปรากฏการณ์ “เขื่อนแตก”ก็เริ่มขึ้นเมื่อแต่ละค่ายต่างงัดกลยุทธ์ กระหน่ำราคา หาฐานลูกค้า ทำให้ยอดคนใช้มือถือในไทยพรวดๆๆๆๆๆ จนระบาดไปทั่วไทย
โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 6 ที่อาจจะแซงปัจจัยที่ 5 อย่างรถยนต์มในเร็วๆนี้ ใครไม่เชื่อลองเดินตามห้าง สังเกตุคนเดินสวนกันไปๆมาๆ คนไหนไม่มีมือถือบ้าง รับรองว่าถาม 100 คน มือคนใช้มือถือ 99 คนครึ่ง
อีกครึ่งที่หายไป คือเจ้าของ”ลืมเอามา”
แหม..เนื้อที่หมด ขอยกยอดไปต่อพรุ่งนี้ครับ
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น