ผลจากน้ำท่วมใหญ่ที่เชียงใหม่หลายระลอกในช่วงเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ลมหนาวพัดเข้ามาภาคเหนือเร็วกว่าปรกติครับ นักสังเกตวิทยาทั้งหลาย แหงนหน้ามองฟ้ามองดิน แล้วทำนายออกมาทิศทางเดียวกันว่า ปีน้ำ”เชียงใหม่”ถึงระดับ”เย็นยะเยือก”แน่นอน
เป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน เมื่อลมหนาวพัดเข้ามาเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับเสียงปี๋เสียงกลองรบ บอกว่าถึงเวลาเข้าถึงช่วง”ไฮซีซั่น”ของล้านนาไทย
แม่ค้าพ่อขายแถวไนท์บาร์ซาร์เริ่มตั้งหน้าตั้งตานักถอยหลัง หวังเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจะสะพัด บรรเทาความเดือนร้อนจากช่วงที่ผ่านมาได้
หันมาถึงบรรดาค่ายของเครื่องดื่มน้ำเมาที่คึกคักไม่แพ้กัน เป็นที่รู้กันว่าช่วงลมหนาวนั้นซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ท้ายปี มีเทศกาลเฉลิมฉลองกันอย่างมากมาย ก็เลยเป็นช่วงเวลามีการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันอย่างคึกคัก
หลายค่ายเริ่มส่งแคมเปญออกมาล่อใจลูกค้า ผมขออนุญาติเขียนแปะข้างฝาพร้อมกับ”ฟันธง”แบบหมอลักษณ์ได้เลยว่า หลังจากนี้ต่อไปก็จะถึงกำหนด”คลอด”ของบาร์เบียร์ ค่ายต่างๆ ที่จะทยอยอุแว้ๆๆๆ ออกมาให้เห็นกันเกลื่อนทั่วเมือง
ตลาดเบียร์เมืองไทยโตพรวดๆๆๆๆ เมื่อไม่กี่ปีทีผ่านมา เหลียวหลังมองอดีตที่เบียร์สิงห์ค่ายดัง ครองตลาดเบ็ดเสร็จกว่า 60-70% ทีเหลือแบ่งไปให้เบียร์ค่ายอื่นและเบียร์นอกพอเป็นกระสัย
พอพี่แอ๊ดคาราบาวออกมาตะโกน”ช้างงงงงงงงงง”อยู่ทุกช่อง ทุกวัน พร้อมกับรายการอะเมซซิ่งเบียร์ไทย 3 ขวดร้อย เล่นเอาตลาดเบียร์ไทยร้อนฉ่า
สุดท้ายตลาดเบียร์ของไทยก็เกิดอาการ”สวิงกลับ”ขึ้นทันที เบียร์ช้างกระโดดทขึ้นมาเป็นเจ้าตลาดเบียร์ไทยด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60 % ส่วนแชมป์เก่าเบียร์สิงห์หล่นตุ๊บมาครองส่วนแบ่งตลาดแค่ 20 % เท่านั้น ซึ่งถือเป็น”แผลเก่า”ที่ยังคอยวันชำระล้าง กันอยู่
ตลาดเบียร์ในเชียงใหม่นั้นมีการแข่งขันค่อนข้างสูงครับ เพราะเชียงใหม่มีการบริโภค”น้ำเมา”ในอัตราที่สูง ยอดการจำหน่ายที่พุ่งเอาๆ ล่อใจให้ค่ายเบียร์ต่างๆอยากเป็นเจ้าตลาด หวังโกยเม็ดเงินมหาศาล
โดยเฉพาะบรรดา”เบียร์นอก”ทั้งหลาย เริ่มเล็งๆ ส่งหน่วย ฉ.ก มาเลียบๆเคียงๆ ดูสภาพตลาดเมืองเชียงใหม่ ก่อนเลือกกลยุทธ์ มาเปิดศึกช่วงหน้าหนาว
ปีนี้ต้องจับตาดูประเภท”ยกต่อยก”ครับ เชื่อแน่ว่า”มวยหมู่”งวดนี้สนุกเหลือหลาย ส่วนคนที่ยิ้มร่าอยู่ไม่ใช่ใครก็บรรดา”คอเบียร์”ทั้งหลาย ที่อยู่บนภู ดูเสือกัดกัน รับประโยชน์กันแบบเต็มๆ
การตลาดน้ำเมาในเมืองไทยนั้นค่อนข้างแปลก เพราะคนไทยเป็นคนประเภท”ช่างคิดสร้างสรรค์”กันเหลือเกิน เมืองนอกเมืองนา อุตสาห์คิดกันหัวแทบแตก ก่อนสรุปเป็นทฤษฎีเขียนออกมาให้นักการตลาดทั่วโลกศึกษา บอกว่า หลักการตลาดทั่วโลกนั่นมีอยู่ 4 P ที่ครอบคลุมไปทุกเรื่อง นักการตลาดชาติไหนก็เอา 4 P ไปปรับปรุงใช้ได้ไม่ตกยุค
เริ่มตั้งแต่ 1. PRICE (ราคา) 2. PLACE (สถานที่) 3.PRODUCT (ผลิตภัณฑ์)และสุดท้าย PROMOTIONหรือการส่งเสริมการขาย
ทฤษฎีนี้พอไหลเข้ามาเมืองไทย ใช้อยู่พักหนึ่ง นักการตลาดไทยบางคนมองว่า “ฝรั่งคิดไม่ครอบคลุม” เพราะคนไทยเป็นชาติที่ชอบความบันเทิง พอยกโจทย์ถามว่าทำอย่างไรจะยึดตลาดน้ำเมาทั้งมีฟองและไม่มีฟองทั้งหลาย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใช้แค่ 4 P ก็ไม่ไหว ต้องเติมตัวช่วย P ตัวที่ห้าเข้าไป เพื่อที่จะเร่งการขายให้เร็วยิ่งขึ้น
คอเบียร์หลายคนเริ่มนึกออกว่า การดื่มนั้นมากน้อยเคลื่อนไหวเร็วหรือไม่ ชั่วโมงนี้ขึ้นอยู่กับ P ที่ห้า ไม่ใช่ 4 P ของฝรั่งมังค่า
P ที่ห้า ที่สำคัญและมีบทบาทกับคอเบียร์ไทยในปัจจุบันนี้ได้แก่
พี.จี PRETTY GIRL ...แฮ่ม
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น