วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรฮีนจา




ช่วงนี้โลกออนไลน์กำลังระอุด้วยเรื่องของโรฮีนจา ประเด็นหลักที่ถกกันคือ ไทยเราสมควรทำอย่างไรเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ความคิดแตกออกเป็นสองมุม ทั้งมุมในเรื่องมนุษยธรรม กับอีกมุมที่ไม่เห็นด้วยเพราะถือว่าอย่าโยนตราบาปนี้ให้ไทยและหากเราตั้งศูนย์อพยพขึ้น ปัญหาในภายภาคหน้าเกี่ยวกับความมั่นคงและปัญหาชนกลุ่มน้อยอาจจะตามมาหลอกหลอนไทยได้ในอนาคต
พอดีไปเจอบทความของคุณวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ในเว็บไซต์ของสำนักข่าวอิศรา ซึ่งบอกเล่าเก้าสิบ ปัญหาโรฮีนจา ที่หมักหมมมานาน ได้ค่อนข้างชัดเจนถึง.."ที่มา ที่ไป"
       และเพื่อที่จะตอบคำถามของผู้คนส่วนใหญ่ว่า...ทำไม ทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮีนจาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะโรฮีนจาที่มาจากรัฐยะไข่ในพม่า
คุณวันชัย เขียนท้าวความนับถอยหลับไปในอดีตตั้งแต่สมัยพม่าประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว โรฮีนจาไม่ใช่คนพม่า แม้พม่าจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า         ที่รัฐบาลพม่ายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติพม่า แต่พม่าไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮีนจาเป็นหนึ่งในนั้น ในกฎหมายของพม่า ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับการนับรวมเป็นชนเผ่าในพม่า ไม่ใช่พลเมือง และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ อันสบเนื่องมากจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ความไม่พอใจของพม่าที่มีต่อชาวโรฮีนจา มีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษ รวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดพม่าตอนล่างรวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์ จับกษัตริย์พม่าและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนคีรีในอินเดียจนตาย พร้อมทั้งยึดเอาทับทิม เพชรพลอยและสิ่งของมีค่า (ที่ราชวงศ์กษัตริย์ของพม่าสะสมไว้มากมายหลายหีบ) ไปจากพม่าเกือบหมด และอังกฤษยึดพม่าไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ
        ในการรบกับพม่า นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮีนจาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับพม่า และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่า ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาทำมาหากินและค้าขายในพม่าได้สะดวก พวกโรฮีนจาที่มาช่วยรบก็ลงหลักปักฐานในพม่าและอีกจำนวนมากก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม
จนปัจจุบันมีคนโรฮิงยาจำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในพม่า ซึ่งพม่ายังถือว่าพวกโรฮิงยาไม่ใช่พม่าเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮีนจารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในพม่า แต่พม่าก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนพม่าได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากพม่าไปแล้วจะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด
แม้จะถูกกดดันจากพม่า แต่สถานการณ์ในบังคลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮีนจาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง        
      ถึงจะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันและถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม
      มีโรฮีนจาจำนวนมากที่หนีไปบังคลาเทศ บังคลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแค้มป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดนซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าพม่า พม่าก็ไม่ยอมให้กลับเช้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากพม่า
ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮีนจาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของพม่าอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียดนาม หรือพวกกะเหรียง หรือชนกลุ่มน้อยอื่น ที่เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว
       แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้และมีความรู้ไป ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้
      และผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่าต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้
       ด้าน UNHCR หรือข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวรไปไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร 
        ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตายหรือยอมให้กลายเป็นพลเมือง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮีนจามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหารและซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ
        เพราะไม่มีใครที่กล้ารับภาระที่ไม่รู้จบในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่
ประเทศทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากมากนัก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรือผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากอาฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง
ออสเตรเลียที่มักเน้นด้านมนุษยธรรมสูง ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรื่อกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปกักกันไว้ในเกาะคริสต์มาส
         ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยู่ในดินแดนของตน และสร้างค่ายอพยพให้คนเหล่านี้ไว้ และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย
ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูงและชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่กล้ามีปากเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะหากออกหน้ามาจะถูกสวนทันทีว่า ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที


        

          คุณจอห์น แครี่ รมว กระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมากดดันไทยแถมโทรกริ๊งกร๊างในนามตำรวจโลกให้ไทยเปิดศูนย์พักพิง แล้วก้อ..บลา บลา บลา อ้างเรื่องมนุษยธรรมเป็นธงนำ ถ้าวันไหนเรางอนทนไม่ไหว โทรกลับไปบอกคุณโอบามา เจ้านายใหญ่ของคุณจอห์นว่า ไทยเห็นใจ แต่ไทยไม่มีตังค์ แถมมีปัญหาเรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
         เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวไทยจะจัดเหมาลำการบินไทย แอร์เอเซีย นกแอร์ ฯลฯ เหินฟ้าขนชาวโรฮีนจาไปลงที่เกาะฮาวายแระกัน เพราะรู้ว่า พี่มะกันห่วงใยเรื่องมนุษยธรรมเป็นอย่างมาก ก้อไม่รู้ว่าคุณจอห์นจะไปกระซิบลูกพี่โอบามา ว่าจะให้ไปลงที่เกาะไหน เพราะมีตั้งหลายเกาะ เจียดมาให้ เพือมนุษยธรรมซักเกาะ คงไม่เกินกำลังพญาอินทรีอย่างมะริกันชนหรอก
       กลัวอย่างเดียว โทรไปหาแล้วจะเจอ...
        "ไม่มีสัญญานตอบรับ จากหมายเลขที่ท่านเรียกกกกกก....."
         หันหน้ามาดูทาง UN ก็ไม่มีศักยภาพพอ เพราะมองเห็นแล้วว่าหากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที UN ก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่มากแล้ว จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องรอประเทศผู้บริจาคซึ่งมีปัญหามากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื้อตัวเอง และจะไปไม่รอดในที่สุด
นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศพม่าให้ลดการกดดันโรฮีนจา และให้รับพวกโรฮีนจากลับ หากพม่ายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮีนจา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่ประเทศในแถบนี้ไม่กล้ารับโรฮีนจาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮีนจาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคนพร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพม่าที่ต้องการไล่ชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศอยู่แล้ว
ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบนี้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว้และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น
กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้ง คนพม่า คนโรฮีนจา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซียอย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด
         เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปรามและการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต และเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้มาจากการทุจริต แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน
กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกด้านมนุษยธรรมอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮีนจาลอยคออยู่ แต่ไม่ประเทศไหนกล้าที่จะรับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถเจรจากับพม่าให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตนได้
วิเคราะห์แล้วก็เหนื่อยแทนครับ กับรัฐบาลคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาที่ยากมาก เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป็นปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ
        อ่านบทความชิ้นนี้เสร็จ ก็เชิญเลือกฝั่ง ถือข้างกันเองตามสะดวกครับ

กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น