วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมืองจักรยาน



เรื่องจักรยาน ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในเมืองไทย หลังมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับจักรยานบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสรณรงค์ให้คนใช้รถ ใช้ถนน โดยเฉพาะบรรดารถยนต์ทั้งหลาย มีน้ำใจในการใช้เส้นทางร่วมกัน
โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่กำลังตั้งโจทย์ว่า จะทำให้กลายเป็นเมืองจักรยาน ผมเองยกมือเชียร์เต็มที่ เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองน่ารัก น่าอยู่ ถ้าเราผลักดันให้บ้านเราเป็นเมืองจักรยานได้ รับรองว่าเสน่ห์ของเมืองเชียงใหม่จะพุ่งติดลมบนทันที
แต่อาจจะต้องใช้เวลาเพราะจะปรับเปลี่ยนแบบทันที ทันใด อาจจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ซักหน่อย
หลังข่าวนักศึกษาขับรถชนจักยาน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จนทำให้หลายฝ่ายต้องออกมารณรงค์กันอย่างครึกโครม เจ้าหน้าที่จัดแถวออกตรวจสถานบริการต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือว่า"เมาไม่ขับ" โดยมีอุทาหรณ์จากเรื่องนี้เป็นแบบอย่าง
เรื่องนี้ผมเองมองว่าเป็นเหมือนเหรียญสองด้านครับ ผมเองก็ปั่นจักรยานกับเค้าเหมือนกัน แต่ปั่นแถวซอย กับย่านถนนที่อยู่แถวบ้าน ส่วนใหญ่ก็ปั่นคนเดียว เช้าๆก็เข็นจักรยานออกไปปั่น ได้ประมาณ 20 กิโลเมตร พอได้เหงื่อ ร่างกายเรื่มหอบแฮ่กๆ ก็ปั่นกลับบ้าน..ประมาณนั้น
ไม่ได้ปั่นแบบอาชีพ เหมือนน้องๆนักข่าวที่อยู่ออฟฟิต ที่ออกแนวปั่นเป็นชมรม ปั่นเป็นกลุ่ม ดูแล้วได้ทั้งความสุขและได้ทั้งสุขภาพ เคยอยากจะไปร่วมแจมกับน้องๆเค้าเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง เนื่องจากเป็นนักปั่นแถวสมัครเล่น ความเร็วประมาณแมวย่อง
        ซึ่งอาจจะเป็นภาระของน้องๆทั้งหลายที่ต้อง"ปั่นไป รอไป" อาจจะเสียสุขภาพจิต เลยปลีกวิเวก ปั่นคนเดียวดีกว่า
เผอิญบ้านผมอยู่ในซอย ซึ่งใกล้ๆกับตรงจุดเกิดเหตุที่น้องนักศึกษาไปชนกลุ่มจักรยานนั่นแหละครับ เนื่องจากซอยค่อนข้างลึกระยะทางหลายกิโลเมตร เพราะเชื่อมระหว่างถนนสันกำแพงกับดอยสะเก็ด
        จึงเหมาะด้วยประการทั้งปวงที่จะเป็นที่ปั่นจักรยาน เนื่องจากไม่มีรถรามากนัก รถใหญ่รถบรรทุก ก็ไม่มี แถมวิวสองข้างทางก็ออกแนวธรรมชาติ เรียกว่าปัจจัยเอื้อหมดสำหรับนักปั่นทั้งหลาย
ครั้งหนึ่งผมขับรถออกจากบ้านตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์ยังไม่ออกมา"เซย์ ไฮ"กับผู้คน รอบข้างสองข้างทางจึงค่อนข้างมืด ขับมาเรื่อยๆ ก็ต้องเบรคตัวโก่งครับ เพราะข้างหน้าคือจักรยาน ที่ปั่นมาออกกำลังกาย
ในซอยมืดๆที่ไม่มีแสงไฟ เวลาปั่นจักรยานตอนช่วงนี้ ผู้ปั่นจะต้องรู้ครับว่า มีความเสี่ยงอยู่มาก เนื่องจากบรรดารถยนต์อาจจะมองไม่เห็น บางคันไม่มีไฟส่องสว่างที่ด้านหลัง มีแต่แผ่นสะท้อนแสง ซึ่งค่อนข้างเก่า ประสิทธิ์ภาพ ก็ด้อยตามไปด้วย
        แถมไฟหน้าก็แสงสว่างวับๆแวมๆ และส่วนใหญ่นักปั่นทั้งหลายมักจะกดไฟหน้ารถให้ฉายลงต่ำ เพื่อจะได้มองเห็นเส้นทาง
ทีนี้จะมาด่าว่ารถยนต์ฝ่ายเดียวก็เห็นจะไม่ถูกครับ ผมเองเกือบชนอย่างจัง เพราะมองไม่เห็นจริงๆ โชคดีไม่มีรถสวนทางมา ก็เลยเปิดไฟสูง พอเปิดปุ๊บก็ต้องอุทานเสียงหลง หักพวงมาลัยหลบทันที ไม่งั้นกวาดจักรยานลงข้างทางแน่
         คือเมาหรือไม่เมา ถ้าเจอแบบนี้ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ทุกครั้งครับ
หลังจากใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ มาได้ซักแปร๊บบบ ขับมาอีกหน่อย เจอเข้าอีกเคส  คราวนี้เป็นจักรยานที่สวนทางมาครับ ยอมรับว่าเกือบมองไม่เห็น เพราะไฟหน้า นักปั่นก็กดลงส่องกับพื้น
         ถ้าไม่เปิดไฟสูงเนี่ย ก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน เนื่องจากถนนในซอยเป็นสองเลนค่อนข้างแคบ
เรื่องนี้ เวลาเรารณรงค์ เราต้องร่วมด้วยช่วยกันครับทั้งสองฝ่าย
ตามสโลแกนแหละครับ"รถเป็นของเรา แต่ถนน..ไม่ใช่"
         ดังนั้นเราต้องจับมือกันแก้ไข ไม่ให้เกิดเรื่องร้ายตามมาอีก เหมือนกับตัวอย่างที่ผ่านมา
รถจักรยานเอง ผมเองก็เข้าใจนะครับ ช่วงนี้อากาศมันร้อน ก็อยากจะร่นระยะเวลาปั่นเช้าขึ้นมาอีกหน่อย บางคนตีสี่ ตีห้า ก็ตื่นออกมาปั่นกันแล้ว ทีนี้ เราก็ต้องเห็นหัวอก ใจเค้า ใจเรา แต่ละคนก็คงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุแหละครับ
ถ้าอยากจะปั่นตอนเช้าๆ เวลาที่แสงว่างตามท้องถนนยังไม่มี ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับส่องสว่างให้พร้อม ไฟข้างหลังเป็นไฟกระพริบ แจ้งให้รถคันหลังทราบว่า ข้างหน้าเป็นจักรยาน
         ไฟหน้า ก็ต้องหาซื้อรุ่นที่มีแสงไฟพอเพียงที่จะทำงานได้ และรถสวนผ่านมาได้เห็น
เสื้อผ้าทั้งหลาย ก็ควรจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีสะท้อนแสง หรือซื้อเสื้อกั๊กสะท้อนแสงมาใส่เลย รับรองว่าจะช่วยได้อีกอักโข เพราะมองเห็นได้แต่ไกล


บางทีกระแสจักรยานในช่วงนี้อาจจะแรงซักหน่อย ล่าสุดผมเห็นภาพ มีนักปั่นจักรยานสามคน แต่งชุดปั่นจักรยานเต็มยศ จอดจักยานแล้วไปนอนกลางถนนชูป้ายว่า"หยุดฆ่านักปั่น" เห็นแล้วก็รู้สึกไม่เข้าท่า เข้าทาง
อยากกระซิบบอกน้องๆเขาเหมือนกันว่า"บางทีอะไรที่มันเยอะไป มันก้อดู..น่าเกลียด"
จากที่เคยอยู่ฟากที่ทุกคนเห็นใจ เข้าใจ และกำลังร่วมด้วยช่วยกัน ให้คนไทยที่ใช้รถ ใช้ถนน ให้เกียรติบรรดารถเล็กทั้งหลายโดยเฉพาะรถจักรยาน ว่าเป็นเพื่อนร่วมถนนด้วยกัน
       น้องๆมาแอ็คชั่นเกรียนๆแบบนี้ ระวังจะโดนกระแสโลกออนไลน์ตีกลับ งานนี้บอกได้เลยครับว่า..ได้ไม่คุ้มเสียครับ
สังคมจะอยู่ได้ ถ้าเราหยุดประนาม แล้วหาทางออกร่วมกัน
ปิดท้ายด้วยความฝัน  ก้อได้แต่หวังว่าซักวัน จะตะโกนบอกเพื่อนๆได้เต็มปากว่า
"เมืองช้านนนน..เป็นเมืองจักรยาน"



กุนซือ
p_kiti@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น