วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"มัสมั่น" ราชา่อาหารโลก


         เมื่อก่อนถ้าพูดถึงอาหารชั้นเทพของโลก ผู้คนส่วนใหญ่จะชูนิ้วอาหารจีน  อาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่งเศษ เรียกได้ว่าใครที่ได้ลิ้มลองชิมรสอาหารของประเทศเหล่านี้ ถือว่าได้กินอาหารระดับเทพ 
         ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ เครื่องปรุง หรือคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร เรียกว่าใช้ของประกอบอาหารแบบสุดยอด จนร่ำลือกันกระฉ่อน  ล่อใจบรรดา"เชลล์ชวนชิม"จากทุกมุมโลก
        สิบกว่าปีที่ผ่านมา อาหารไทยเริ่มเข้ามามาบทบาทในวงการอาหารระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนจากทุกมุมโลกเริ่มพูดคุยถึงอาหารไทยกันเสียงดังกว่าเดิม

      เพราะอาหารไทยนั้นได้ชื่อว่ามีความอร่อย มีความหลากหลาย และรสชาติที่ถึงอกถึงใจ พระเดชพระคุณนักชิมทั้งหลาย เวลาใครเดินทางไปท่องเที่ยวแถวยุโรปหรือว่าอเมริกา จะเริ่มเห็นร้านอาหารไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่เพิ่มแค่ปริมาณอย่างเดียว แต่ลูกค้าฝรั่งมังค่า ก็เดินหน้าเข้าร้านมาลิ้มลองกันแบบไม่ขาดสาย เมืองใหญ่ๆในอเมริกา ร้านอาหารไทยนั้นมีคนต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อจะได้ลิ้มรสชาติ"เสน่ห์ปลาจวักแบบไทยๆ"
        หลังจากเสียงลือ เสียงเล่าอ้างว่าอาหารไทยกำลังขึ้นเป็น"อาหารเทพ"ของโลกมาระยะหนึ่ง ในทึ่สุดวันนี้ อาหารไทยก็ได้สร้างชื่ออีกครั้งเมื่อเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น เซ็กชั่นซีเอ็นเอ็นโก เปิดเผยผลสำรวจเมนูยอดนิยม 50 อันดับทั่วโลก 

       ปรากฏว่า 'มัสมั่น' ของไทย คว้าอันดับ 1 นอกจากนี้ยังมีอาหารไทยอีกหลายเมนูติดอันดับต้นๆ ด้วย เช่น อันดับ 8 ต้มยำกุ้ง อันดับ 19 น้ำตกหมู และอันดับ 46 ส้มตำ
     โดยซีเอ็นเอ็นใช้วิธีสำรวจโดยการเปิดให้คนทั่วโลกโหวตทางเฟซบุ๊ก โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม  

       สำหรับรายชื่ออาหารจากทั่วโลกที่ได้รับการโหวตเลือกมีหลายร้อยรายการจากหลายชาติ ขณะที่อาหารไทยก็มีหลายเมนู อาทิ น้ำตกหมู ผัดไทย มัสมั่น ต้มยำกุ้ง ข้าวผัด แกงเขียวหวาน เป็นต้น
    เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นแจกแจงรายละเอียดว่า ผลโหวตเมนูยอดนิยม 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่
    1.มัสมั่นของไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น 'ราชาแกงกะหรี่' และอาจเป็น 'ราชาแห่งอาหารทั้งปวง' ด้วยความเผ็ด มันกะทิ หวานปนเปรี้ยว ผสมผสานกันอย่างลงตัว จึงได้รับเลือกให้เป็นแชมป์อาหารโลก



      2.พิซซ่านาโปเลียนของอิตาลี มีส่วนผสมทุกอย่างในหน้าพิซซ่ากลมๆ แม้เป็นพิซซ่าหน้าธรรมดา แต่ก็คว้ารองแชมป์มาได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเป็นต้นฉบับของพิซซ่าที่ปรุงด้วยแป้งสาลีชั้นดี ใช้มะเขือเทศ 3 ชนิด แป้งโดที่นวดจนเหนียวนุ่มและอบในเตาอบด้วยถ่านไม้


     3.ช็อกโกแลตของเม็กซิโก จากผลโกโก้ในป่านำมาผลิตเป็นช็อกโกแลตรสขมอมหวาน เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ และเทศกาลอีสเตอร์สำหรับคนทั่วโลก 

    4.ซูชิจากญี่ปุ่น คัดสรรเนื้อปลาสดและข้าวมาปรุงเป็นข้าวปั้นแสนอร่อยที่ถูกใจคนทั่วโลก 


    5.เป็ดปักกิ่งจากจีน เป็ดอบเคลือบด้วยน้ำเชื่อมหวานชุ่มคอ เป็นสูตรเฉพาะของเป็ดปักกิ่ง ค่อยๆ อบให้ได้ที่ในเตาอบจนผิวกรอบ นิยมเสิร์ฟหนังมากกว่าเนื้อ รับประทาน พร้อมแพนเค้ก หัวหอม หรือซีอิ๊วดำยิ่งเพิ่มความอร่อย



     6.แฮมเบอร์เกอร์จากเยอรมนี น่าแปลกใจที่ยักษ์ใหญ่แฮมเบอร์เกอร์อย่างแม็คโดนัลด์ไม่ติดอันดับยอดนิยม แต่กลับเป็นแฮมเบอร์เกอร์จากเยอรมนี เพราะส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างขนมปัง เนื้อ และสลัด ผลผลิตจากระบบการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

      7.ลักซาปีนังอัสสัมจากมาเลเซีย หรือก๋วยเตี๋ยวแกง อาหารยอดฮิตของชาวมาเล เซีย ปรุงด้วยเส้นบะหมี่ที่เรียกว่าบีฮูน ราดน้ำแกงกระทะรสเผ็ด เติมรสชาติด้วยสมุนไพรหลากชนิด เช่น มะขาม ตะไคร้ สะระแหน่ หัวหอม สับปะรด

    8.ต้มยำกุ้งของไทย เลิศรสด้วยกุ้ง เห็ด มะเขือเทศ ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด และปกติจะใส่น้ำกะทิเพิ่มความข้นมัน เสิร์ฟร้อนๆ รสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ตามด้วยหวาน ที่สำคัญคือราคาถูก 

    9.ไอศกรีมจากสหรัฐ แบบฉบับชาวอเมริกันแท้ๆ ต้องมีถั่ว มาชเมลโลว์ ราดด้วยช็อกโกแลต 

    10.ไก่มวมบาจากกาบอง ดัดแปลงจากสูตรดั้งเดิมของชาวตะวันตก เสริมความอร่อยด้วยเนยถั่ว พริก กระเทียม มะเขือเทศ พริกไทย เกลือ เนยจากปาล์ม
    วกกลับมาย้อนรอยถึง แกงมั่สมั่น ซึ่งปีนี้คว้าตำแหน่งราชาของอาหารโลกมาครองได้นั้น เริ่มแรกเดิมทีต้องย้อนไปเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยมีการ สันนิษฐานว่ามาจาก “ ต้นเครื่องชาวอินเดีย ” คณะทูตชาวเปอร์เชียได้บันทึกไว้ว่า “ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ” เป็นเจ้าไทยองค์เดียวที่เสวยอาหารแขกมันๆ ได้ แม้หลังจากขึ้นครองราชย์สมเด็จพระนารายณ์ก็ยังคงมีพ่อครัวซึ่งเป็นแขกอินเดีย ทำหน้าที่เป็นต้นเครื่องถวายอาหารอินเดียให้เสวยเป็นครั้งคราว
        แกงมัสมั่น เป็นตำรับอาหารที่ผสมผสานระหว่างครัวอินเดีย กับ ครัวไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกใช้เครื่องเทศ สมุนไพร และเครื่องปรุงอย่างชาญฉลาด แกงมัสมั่น ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของครัวสกุล “บุนนาค ” ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเฉกอะหมัด พ่อครัวเปอร์เชียที่รับราชการในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้เดิมจะนับถือศาสนาอิสลามนิกายซีอะห์ (หรือที่คนไทยสมัยก่อน เรียกว่า “ แขกเจ้าเซ็น ” 

    ต่อมาลูกหลานสกุลบุนนาค เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และได้ดัดแปลงอาหารไทยมุสลิมออกมามากมายหลายชนิด โดยเปลี่ยนจากเดิมที่ใช้นมสด หรือ นมเปรี้ยว มาเป็น กะทิ ซึ่งมีมัสมั่นก็เป็นอาหารที่ถูกปรุงจนถูกลิ้นคนไทย และกลายเป็นอาหารไทยมาจนทุกวันนี้
                                                    

                                                               กุนซือ
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น