วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"นักข่าวหัวเห็ด"ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ..โดน"มติชน"เบรกไม้ต้องเขียนคอลัมน์อีก ข้อหา"เอาความจริงมาตีแผ่..ทำไม"



ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์...ได้รับแจ้งจากมติชนว่า...ไม่ต้องส่งต้นฉบับวันเสาร์ที่ 16 ก.ค. บทความ "คำถามที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่กล้าตอบ จึงเป็นบทความสุดท้าย!

คำถามที่”ยิ่งลักษณ์”ยังไม่(กล้า?)ตอบ

โดย..ประสงค์  เลิศรัตนวิสุทธิ์

            น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร(ว่าที่)นายกรัฐมนตรี  ประกาศถึงภารกิจเร่งด่วน 7ประการที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการ
            1 ใน 7 เรื่องดังกล่าวได้แก่ การเร่งแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและการบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส่
            ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สถานีไทยพีบีเอสเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เวลา 22.00 น. (คลิกดู“ยิ่งลักษณ์”ไขข้อข้องใจ”ผลประโยชน์ชินวัตร”ผ่านถามตรงของ”ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา”)ยืนยันว่า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ของครอบครัวและตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ส่วนผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจของครอบครัวชินวัตรที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ  น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกแต่เพียงว่า ได้ลาออกจากผู้บริหารของบริษัท(บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น)ที่เป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตรแล้ว
           ทั้งการประกาศและการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาประชาคมของ(ว่าที่)นายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะการไม่เห็นแกผลประโยชน์ของครอบครัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะและการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
จึงอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบคำถาม ดังต่อไปนี้
          หนึ่ง ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กล้ายืนยันหรือไม่ว่า นอจากไม่ขัดขวางแล้ว จะปล่อยให้การดำเนินการ “ถอดยศ”และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส ไม่“สองมาตรฐาน” หลังจที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี”พี่ชาย”ตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 ในคดีการซื้อที่ดินรัชดาฯจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ การดำเนินการ“ถอดยศ” พ.ต.ท.ทักษิณถูกยื้อมาเป็นเวลานานโดย สตช.หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาถึง 2 ครั้งซึ่งได้รับการยืนยันทั้งสองครั้งว่า สตช.มีอำนาจตามกฎหมายในการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่ สตช.จะประวิงเวลา(เพื่อเอาใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์?)ต่อไปอีก(คลิกดู “สองมาตรฐานว่าด้วยการถอดยศ “ทักษิณ”)
       ตรงกันข้าม ถ้า สตช.ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน น.ส. ยิ่งลักษณ์ต้องลงโทษผู้รับผิดชอบใน สตช.ด้วย
        ส่วน ถ้าจะมีการนิโทษกรรมกันภายหลังแล้วจะขอพระราชทานคืนยศและคืนเครื่องราชฯให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ไม่ควรจะนำมาเป็นข้ออ้าง ทำให้เกิด”สองมาตรฐาน”
        สอง ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท ศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น”นอมินี”หรือผู้ถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ป  20 ล้านหุ้น แทน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณโอนให้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543
         ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2546-2548 รวม 6 งวด เป็นเงินรวม 97.49 ล้านบาท โดยงวดที่ 3-6 ปี 2547-2548 เป็นเงิน 70.1 ล้านบาทนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์” ใช้เช็คเงินสด 42 ฉบับ ถอนเงินสดๆ ออกจากบัญชีครั้งละ 1 ล้าน 1.5 ล้าน และ 2 ล้านบาท ฯลฯ ติดต่อกันเกือบทุกวัน จนหมดทุกครั้ง
            น.ส. ยิ่งลักกษณ์อ้างว่า นำเงินไปใช้  เช่น ซ่อมบ้าน สร้างสระว่ายน้ำ ซื้อเครื่องประดับ ซื้อเงินตราต่างประเทศฯลฯ แต่ไม่หลักฐาน(การจ่ายเงิน-ใบเสร็จรับเงิน)ใดๆไปแสดงต่อศาลฎีกาฯว่า ทำให้ศาลวินิจฉัยว่า คำให้การของ “ยิ่งลักษณ์” รับฟังไม่ได้
          จากพฤติกรรมการถอดเงินสดๆนับล้านติดต่อกันเกือบทุกวันเป็นเวลา 10 วัน เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่า หลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน?
       คำถามคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์นำเงินสดๆครั้งละ 16-19 ล้านบาทถึง 4 ครั้ง(เงินปันผล 4 งวด)ไปทำอะไร ทำไมจึงไม่กล้าเปิดเผยความจริง?
       ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างแล้ว จะไปทำเรื่องอื่นๆใให้โปร่งใสได้อย่างไรและอาจจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพรรคฝ่ายค้านต่อไป
สาม บริษัท วินมาร์ค ลิมิตเต็ด บนเกาะบริติชเวอร์จิ้นเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวชินวัตรหรือไม่
       ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.เอสซีฯ ซึ่งบริษัท วินมาร์ค เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทประมาณร้อยละ 20 (ต่อมาโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้ 2 กองทุนในมาเลเซีย) และยังถือหุ้นชินคอร์ปอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่มีการปกปิดไว้
     ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2549 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะกรรกมารผู้อำนวยการเอสซีฯ ชี้แจงต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์( ก.ล.ต)ว่า บริษัทวินมาร์ค และ 2 กองทุนในมาเลเซียมิได้เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัวชินวัตร ซึ่งขัดต่อพยานหลักฐานที่ ก.ล.ต. ได้จากการตรวจสอบ ซึ่งระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผู้จัดตั้งกองทุนซิเนตรา ทรัสต์และถือหุ้นกันเป็นทอดไปยังบริษัท บลูไดมอนท์, วินมาร์ค และ 2 กองทุนในมาเลเซียและบริษัทเอสซีฯ ตามลำดับและนำพยานหลักฐานดังกล่าวไปให้การต่อศาลฎีกาฯในคดียึดทรัพย์
       คำถามคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังยืนยันหรือไม่ว่า บริษัทวินมาร์คมิได้เกี่ยวข้องใดๆกับครอบครัวชินวัตร หรือถ้ายอมรับว่า บริษัทวินมาร์คเป็นของครอบครัวชินวัตร
        ทำไมตอนนั้นจึง(โกหก?)ไม่บอกความจริงต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
หรือเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของครอบครัวชินวัตร แต่ทำลายระบบของตลาดหลักทรัพย์?
       ไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กล้าตอบคำถามเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ หรือต้องรอให้ใครเขียนสคริปต์ให้ก่อน?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น