วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตะลุย.."มาเก๊า" พ.ค 2555







เกาะปีกแอร์เอเชีย...

ตะลุย”มาเก๊า”



                วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แอร์เอเซียเขาได้เวลาดีเดย์เปิดไฟล์ทบินเที่ยวแรกที่บินจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังมาเก๊า ดินแดนที่เลื่องชื่อเรื่องเสี่ยงโชค งานนี้เขาส่งเทียบเชิญมาให้ผม เลยได้รับอานิสงส์บินตรงไปเมืองคาสิโนในฐานะผู้โดยสารชุดแรก สำหรับคนเหนือที่อยากไปเที่ยวมาเก๊าหรือฮ่องกง จากนี้ไปคงสะดวกสบายมากขึ้นเพราะไม่ต้องเดินทางไปนับหนึ่งที่กรุงเทพอีกต่อไป เริ่มต้นสตาร์ทที่เชียงใหม่ก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน


                แอร์เอเชียบินไปมาเก๊าวันละ 1 เที่ยวบิน เครื่องเริ่มเทค-ออฟ จากสนามบินเชียงใหม่เวลา 16.15 น.ใช้เวลาบินประมาณ สองชั่วโมงสี่สิบนาทีก็ แลนดิ้งลงสนามบินมาเก๊า ส่วนคนที่อยาก “ทูอินวัน”อยากเที่ยวทั้งมาเก๊าและฮ่องกง ก็ไม่ยุ่งยากเพราะมาเก๊ากับฮ่องกงนั้นระยะห่างกัน 50 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น สามารถซื้อตั๋วเรือนั่งเรือข้ามไปแบบสบาย ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่าเกาะฮ่องกง


                หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าจะมาเที่ยวมาเก๊าและฮ่องกง ควรจะเลือกแลกเงินสกุลไหนมาใช้ ต้องเล่าขานว่าเงินสกุลของฮ่องกงนั้นคือฮ่องกงดอลล่าร์ ส่วนมาเก๊านั้นใช้เงินสกุลปาคากาส์  โดยอัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลนั้นใกล้เคียงกันครับ  หนึ่งเหรียญฮ่องกงก็แลกได้หนึ่งปาคากาส์  สำหรับนักเที่ยวชาวไทยทั้งหลายขอแนะนำให้แลกเป็นดอลล่าร์ฮ่องกงครับ เพราะสามารถใช้ได้ได้ที่มาเก๊าและฮ่องกง คนมาเก๊าเองก็ดูแฮปปิ้เวลาเราจ่ายเป็นเงินฮ่องกง แต่ในขณะเดียวกันเงินปาคากาส์ของมาเก๊า ไม่สามารถนำไปใช้ในฮ่องกงได้  แต่ไม่ต้องห่วงถ้าคุณอยู่ในมาเก๊าถ้าซื้อของ แม้แต่ร้านขายของชำ ถ้าจ่ายเงินเป็นเงินฮ่องกงเค้าก็จะทอนเป็นเงินฮ่องกงได้ครับ
                มาเก๊า นั้นตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง มีเนื้อที่ทั้งหมดแค่ 29.2 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าอำเภอเมือง ของเชียงใหม่ถึง 5 เท่า  ประชากรก็มีแค่ 550,000 คน ในขณะที่เชียงใหม่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 1,646,144 คน เกาะมาเก๊าประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊าที่ติดอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่ ,เกาะไทปา,เกาะโคโลอาน และเกาะโคไท การเดินทางระหว่างเกาะต่างๆจะเชื่อมด้วยสะพานเป็นหลัก 
                ตอนนี้รัฐบาลจีนมีโครงการอภิมหาโครงการยักษ์ คือกำลังจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฮ่องกงกับมาเก๊า โดยสะพานวิ่งผ่านทะเลจากทั้งสองเกาะ ความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร แถมสะพานที่ใกล้ๆจะถึงมาเก๊าจะมีช่องทางแยกเข้าเมืองจูไห่ ของเมืองจีน คาดการณ์ว่าประมาณปี 2016 นักท่องเที่ยวทั้งหลายอาจจะมีทางเลือกโดยการนั่งรถข้ามไปยังเกาะฮ่องกงแทนการนั่งเรือเฟอรรี่ เหมือนในอดีต


                วันแรกของคณะทัวร์สื่อมวลชนเริ่มต้นที่วัดอาม่า วัดที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดของเกาะมาเก๊า  ตามตำนานเล่าว่า”อาม่า”มีพระนามเดิมว่า”หลิงม่า”หญิงสาวชาวฟูเจี้ยน ที่วันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขา วจึงขอโดยสารมากับเรือประมงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นเรือลำเล็กๆที่ยอมให้เธอโดยสารข้ามฟาก ในขณะที่เรือลำอื่นๆปฏิเสธ ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเล เกิดพายุพัดขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง แต่เกิดปาฏิหาริย์เรือที่เธอนั่งมาด้วยเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ทันทีหลิงม่า ก้าวขึ้นฝั่ง เธอก็ลอยขึ้นฟ้าแล้วลอยลับหายไป ชาวประมงจึงเชื่อว่าเธอคือเทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นมาดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า”อ่าวของอาม่า”หรือ”อา-หม่า-เกา” ต่อมาก็พูดเสียงเพี้ยนกันกลายเป็น”มาเก๊า”ในปัจจุบัน


                คนไทยที่มานมัสการ”อาม่า”ที่วัดค่อนข้างเยอะครับ เดินกันแบบไหล่ชนไหล่กันเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะมาขอพร และโชคลาภ ก็ของแน่อย่างหนึ่งคือมาเก๊าได้ชื่อว่าเป็นลาสเวกัสแห่งเอเซีย แดนแห่งการพนันแห่งนี้ ผู้คนที่เดินทางมาเสี่ยงโชค ก็ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่นเพื่อขอให้ตัวเองโชคดีกันเป็นแถว
                สำหรับคนที่เชื่อเรืองโชค เรื่องดวง เขาบอกว่าเวลาเดินผ่านประตูวัดในแต่ละชั้น ถ้าเป็นผู้ชายให้ก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน ส่วนผู้หญิงก็ให้ก้าวเท้าขวา เพราเชื่อว่าเป็นการเดินขึ้นส่สวรรค์
                ข้อดีอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือ ทางรัฐบาลของมาเก๊า เค้าจะให้บริการอินเตอร์เน็ต wi-fi ฟรีตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ โดยใช้ชื่อว่า” wi-fi  go” คงเข้าใจว่าโลกของคนยุคใหม่ต้องอัพโหลดรูปภาพ ข้อมูล ข่าวสารให้ทันใจ มาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแล้วก็ยืมดาบบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายนี่แหละครับ ที่ชอบถ่ายรูป ถ่ายวิว แล้วโพสตาม โชเชียล มีเดีย ทั้งหลายเป็นตัวช่วยเผยแพร่การท่องเที่ยวของมาเก๊าแบบง่ายๆ
                เรื่องนี้ผมว่า ททท.เมืองไทยน่าจะเดินตาม เพราะเท่าที่สอบถามบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างถูกอก ถูกใจกันเป็นทิวแถว ใช้เงินไม่มากแต่ผลลัพท์คุ้มค่าครับ


                แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของมาเก๊าคือ”มาเก๊าทาวเวอร์” ซึ่งเป็นหอคอยที่มีความสูงเป็นอันดับ 8 ของเอเซียและสูงเป็นอันดับ 10 ของโลกมีความสูงทั้งสิ้น 338 เมตรเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2001โดยข้างในมีทั้งศูนย์การค้า ห้องจัดประชุม ภัตตาคาร โรงภาพยนตร์ฯลฯ สำหรับคนที่ชอบกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีน เขาก็มีกิจกรรมให้ท้าทายไม่ว่าจะเป็นการเดินชมวิวภายนอกทาวเวอร์ที่มีความสูง 233 เมตร หรือจะกระโดดบันจี้ จัมพ์ ก็เลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย
                มาถึงย่านช๊อปปิ้งชื่อดังที่สุดของมาเก๊า ที่นักเที่ยวหญิงของไทยร่ำร้องอยากมาที่สุดคือ”เซนาโด สแควร์”




                “เซนาโด สแควร์”นั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ในบริเวณนี้จะมีตึกที่ถูกสร้างตามสไตล์ยุโรป สวยงามมาก พื้นปูด้วยกระเบื้องลวดลายขาวสลับดำเป็นรูปคลื่น รอบๆบริเวณนี้จะมีร้านาแบรนด์เนมให้เลือกซื้อสินค้ากันอย่างมากมาย โดยแต่ละร้านตกแต่งอย่างสวยงามล่อใจขาช๊อปปิ้งทั้งหลายให้เข้าไปเลือกชม


                “เซนาโด สแควร์”และพื้นที่ใกล้เคียงนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง และหลายแห่งก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว แต่สถานที่คนไทยคุ้นตามากที่สุดก็คือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ที่ใครมามาเก๊าก็ต้องมาแอ๊คชั่นถ่ายรูปตรงนี้ ไม่งั้นถือว่ายังมาไม่ถึงมาเก๊า


                ถ้ามาถ่ายรูปที่ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแล้ว พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือต้อง หาซื้อ”ทาร์ไข่”ซึ่งเป็นขนมชื่อดังของมาเกามาลิ้มชิมรส ร้านดังต้นตำรับก็ตั้งอยู่แถวบันไดทางขึ้นโบสถ์เซนต์ปอล นั้นแหละครับ แถมยังมีหมูแผ่นให้ซื้อติดไม้ติดมือมาฝากคนทางบ้านได้อีกต่างหาก แต่ไกด์ของคณะแอบแนะนำว่า ลองซื้อปลาเค็มกับกะปิ ของมาเก๊ากลับไปฝากเพื่อนฝูง รับรองว่าอร่อยแบบไม่รู้ลืม เพราะวัสดุทำมาอย่างดี อร่อยนักอร่อยหนา เป็นที่เลื่องลือของนักท่องเที่ยวในช่วงหลังที่เริ่มหันซื้อปลาเค็มกับกะปิ กลับเมืองไทยกันมากขึ้นเรื่อยๆ


                การเดินทางในมาเก๊าค่อนข้างสะดวกครับ เนื่องจากรถราไม่ติดเหมือนกับบ้านเรา เชื่อมั้ยครับถ้าถนนเส้นไหนรถติดเกินห้านาที คนมาเก๊าจะเริ่มโวยวายแล้ว เพราะถือว่ารถติดนานเกินไป สาเหตุหนึ่งคือการซื้อรถส่วนบุคคลใช้ที่มาเก๋าค่อนข้างจะลำบากซักหน่อย รถคันหนึ่งราคาก็ไม่สูงมากนัก แต่ที่เหนื่อยที่สุดคือกฎหมายกำหนดว่าก่อนซื้อรถทุกครั้ง คุณต้องไปหาที่จอดรถให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าจะซื้อรถยี่ห้ออะไร เนื่องจากพื้นที่มีน้อย ดังนั้นที่จอดรถราคาก็แพงเหมือนทองคำ ที่จอดรถคันหนึ่งราคาประมาณล้านกว่าบาท ดังนั้นคนที่จะมีรถขับได้ในมาเก๊าก็ต้องถือว่ามีสตุ้งสตางค์พอสมควร บางส่วนก็หันไปใช้มอเตอร์ไซต์ สนนราคาคันหนึ่งก็ราคาไม่ใช่น้อยอยู่ในระดับคันละแสนกว่าบาท


                แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆท่านๆ  สามารถใช้รถของบรรดาคาสิโนทั้งหลายที่วิ่งให้บริการฟรีระหว่างคาสิโนต่างๆครับ เป็น”ชาร์เตอร์ บัส”แต่ต้องศึกษาหน่อยว่าจะเดินทางไปไหน แล้วอยู่ใกล้คาสิโนที่ใด ก็สามารถเลือกนั่งได้ตามชอบใจ ไม่ต้องเสียตังค์ โดยรถชาร์เตอร์ บัส ที่วิ่งระหว่างคาสิโนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันใช้เวลารอประมาณ 10-20 นาที
                สมัยก่อนเวลาคนมาเที่ยวมาเก๊า เป้าหมายหลักคือต้องไปสัมผัส”เซนาโด สแควร์”เพราะได้ทั้งช๊อปปิ้งและเที่ยวชมมรดกโลก แต่ตอนนี้ค่านิยมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามายังมาเก๊า ต่างตั้งเข็มทิศมุ่งไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ว่ากันว่า..พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


                “คาสิโน เดอะ เวเนเชี่ยน (the vanetine  macau resort)” บ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
                “เวเนเชี่ยน” นั้นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถือเป็นเอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ที่เร้าใจที่สุดในเอเชีย มีห้องพักสวีตรวมกันถึง 3,000 ห้องแต่ละห้องมีเนื้อที่กว้าง 70 ตารางเมตร ราคาห้องเฉลี่ยแล้วประมาณคืนละหกพันกว่าบาท
                ในส่วนของคาสิโนนั้น “เวเนเชี่ยน”ถือว่ามีคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีตู้สล๊อตแมชชีน หรือที่คนไทยมักเรียกว่า”โจรแขนเดียว”ถึง 1 พันตู้ และโต๊ะเล่นพนันมากกว่า 600 โต๊ะ เปิดบริการให้นักเสี่ยงโชคตลอด 24 ชั่วโมง

                ในส่วนของคาสิโนนั้นเป็นห้องโถงโปร่งสูง 2 ชั้น ใหญ่โต โอ่โถง ดังนั้นจากชั้นหนึ่งก็ข้ามไปเป็นชั้นสามโดยไม่มีชั้นสอง ใช้บันไดเลื่อนเป็นตัวรับส่งผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ในส่วนชั้นสามนั้นจะเป็นส่วนของ The Grand Canal  ซึ่งจะเป็นส่วนของร้านค้า แบรนด์ชั้นนำให้ช๊อปปิ้งกว่า 350 ร้าน


                และชั้นนี้เองที่ขึ้นชื่อคือเขาจำลองเมืองเวนืช ของอิตาลีมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เวลาเดินเล่นในชั้นนี้อาจจะหลงเคลิ้มว่ากำลังท่องไปในแดนมักโรนี  แถมยังสร้างคลองขึ้น ส่วนเพดานก็ออกแบบเหมือนท้องฟ้าจำลอง เวลาเราเดินไปเรื่อยๆจะเหมือนกับเมฆเคลื่อนที่ได้ ทำให้คนที่อยู่ใน“เวเนเชี่ยน” รู้สึกว่าบรรยากาศน่าเดิน และสัมผัสธรรมชาติที่ดูเหมือนเสมือนจริง


                นอกจากนั้น “เวเนเชี่ยน” ยังได้สร้างคลองจำลองขึ้นมาในชั้นนี้ด้วย เพื่อที่จะเปิดให้บริการพายเรือกอนโดล่า ที่จะพาผู้นั่งเรือล่องในลำนำชมรอบๆเมืองเวนิชจำลองแห่งนี้ พร้อมทั้งสัมผัสกับเสียงขับกล่อมด้วยเสียงเพลงจากฝีพายระดับนักร้องโอเปร่า สมัยแรกๆเขานำฝีพายกอนโดล่าที่มีชื่อเสียงจากเมืองเวนิช สั่งนำเข้ามาขับขานและพายเรือบริการให้กับนักท่องเที่ยว  แต่ตอนนี้ฝีพายทั้งหลายเริ่มแปลงร่างกลายเป็นคนฟิลิปปินส์ซะส่วนใหญ่ เพราะถ้าพูดถึงพรสวรรค์สำหรับเรื่องร้องรำ ทำเพลง ชาวตากาล๊อก ไม่เคยเป็นสองรองใครเหมือนกัน แถมค่าตัวยังถูกกว่าต้นตำรับอีกอักโข


สำหรับสนนราคาถ้าอยากนั่งเรือกอนโดล่าดูซักครั้ง ผู้ใหญ่ประมาณ 500 บาท ส่วนเด็กราคา 370 บาท ใช้เวลาล่องประมาณสิบนาที ก็ถือว่าถ้ามา“เวเนเชี่ยน”แล้ว ก็ต้องลองลงเรือนั่งดู เผื่อจะไปคุยโม้ได้เต็มปากว่าฉันมาถึงแล้วจริงๆ
ตอนนี้มาเก๊ากำลังสร้างเมืองใหม่ เพิ่มเติมขึ้นอีก โดยเมืองใหม่แห่งนี้จะเน้นเป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาเพราะว่าอยากจะแยกบรรดาเยาวชนทั้งหลายให้ห่างๆจากบรรดาคาสิโน เลยไปสร้างเมืองมหาวิทยาลัยแยกออกไปอีกต่างหาก เยาวชนทั้งหลายจะได้ไม่ต้องหลงเสียง สี เสียง คาดว่าไม่นานเมืองนี้คงจะอวดโฉมเป็นหน้าเป็นตาให้กับมาเก๊าอีกครั้ง เพราะพูดเรื่องการก่อสร้างแล้วต้องยกนิ้วซูฮกให้กับเมืองจีนครับ เขาสร้างกันรวดเร็วจนเหลือเชื่อ
ตอนที่โครงการ“เวเนเชี่ยน”คลอดออกมา มีเป้าหลักว่าจะต้องสร้างเสร็จภายในสองปี วิศวกร สถาปนิคทั่วโลกต่างประสานเสียงว่า ด้วยความใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างเสร็จได้ สำนักข่าวรวมถึงค่ายของสารคดีชื่อดังของโลกต่างพากันมาเกาะติดตั้งแต่เริ่มขุด วางเสาเข็ม สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าโครงการที่ว่ากันว่าไม่มีทางทำสำเร็จได้ในเวลาสองปี สามารถเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่เบื้องหลังนั้นก็สร้างกันจนถึงวินาทีสุดท้าย ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนงานเปิดตัวเพียงไม่กี่นาที ถือเป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
มีคนบอกว่าถ้าเมืองจีนเป็นพี่ใหญ่ มีน้องอยู่ 3 คน มาเก๊าเป็นน้องคนเล็กที่กระโดดเข้ามาซบอกพี่ใหญ่อย่างจีนก่อนใครเพื่อน  ต่อมาน้องกลางอย่างฮ่องกง ค่อยๆเขยิบเข้ามาญาติดีกับพี่คนโตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ขณะที่น้องรองอย่างใต้หวัน ยังกระฟัดกระเฟียดทะเลาะกับพี่ใหญ่ไม่ยอมเลิก
แต่เมื่อตอนนี้พี่ใหญ่ นั้นกลายเป็นพี่เบิ้มของโลก คนจีนสมัยนี้เป็น”เศรษฐีใหม่”กันถ้วนหน้า เงินทองใช้จ่ายกันอย่างสะพัด น้องเล็กที่มาเก๊าที่พี่ใหญ่เอ็นดูมาโดยตลอดก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ว่ากันว่าเป้าหมายข้างหน้ามาเก๊าไม่ได้หวังอะไรมากมายขอแค่.....
ผลักอก”ลาสเวกัส”ให้ถอยออกไป แล้วหยิบชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของการพนันมาไว้ในแผ่นดิน....เท่านั้นเอง!

                                                                                                                                กุนซือ
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น