วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักข่าวออนไลน์-ครบรอบเชียงใหม่นิวส์ 2555









                ถ้านักข่าวรุ่นใหม่ๆสามารถย้อนเวลากลับไปซักประมาณ 20 ปี หลายคนอาจจะตกใจว่าการทำงานของนักข่าวนั้นเปลี่ยนโฉมชนิด”ตุ๊กกี้เปลี่ยนมาเป็นญาญ่า”เลยทีเดียว สมัยก่อนเครื่องไม้ เครื่องมือไม่ไฮเทค มีตัวช่วยมากมายเหมือนสมัยนี้
                นักข่าวต้องหิ้วกล้องอันเบ้อเริ่มเทิ่มแบกออกไปทำข่าว ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องบึ่งรถกลับมาร้านถ่ายรูปเพื่อตัดฟิลม์ ล้าง อัด ได้รูปแล้วก็บึ่งมาส่งต้นฉบับที่กอง บ.ก กว่าจะทำข่าวเสร็จชิ้นหนึ่งค่อนข้าวจะลำบากลำบนพอสมควร
                แถมเมื่อก่อน คอมพิวเตอร์ยังไม่อุแว้ออกมาดูโลก เครื่องมือหากินก็หนีไม่พ้นเครื่องพิมพ์ดีดนี่แหละครับ ซึ่งตอนนี้เครื่องพิมพ์ดีด กำลังกลายเป็นวัตถุโบราณที่ควรเก็บสะสมไว้ให้ลูกหลานได้ดู ได้เห็น ว่าเมื่อก่อนรุ่นคุณลุง คุณป้า โตมาพร้อมกับเครื่องพวกนี้และวิทยุธานินทร์ และตู้เย็นซิงเกอร์
                ผมตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ เจอความกดดันอย่างมาก เพราะต้องใช้สมาธิสูงเวลาส่งข่าว เพราะเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องกองบ.ก จะเจอเสียง”ข้าวตอก”เครื่องพิมพ์ดีด ดังระรัวจะบรรดาเหยี่ยวข่าวโต๊ะต่างๆ ผมต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควรเวลาพิมพ์งาน เพราะมือไม้มักจะพาลกดผิด กดถูก อยู่เสมอ เนื่องจากอัตราเร่งคนละพิกัดกับบรรดารุ่นพี่ทั้งหลาย
                ผมพิมพ์ในอัตราความเร็วระดับ “เดินจงกลม”แต่บรรดาพี่ท่านแต่ละคนพิมพ์เหมือนคนขับ”เอฟวัน “ทำให้จังหวะในการพิมพ์ของผมพัง พิมพ์ผิดตลอด แถมบางคนยังพรสวรรค์สูง ไม่ต้องพิมพ์ตามตำรา ที่ต้องเอานิ้วมือทั้งหน้าวางเรียงรางบนแป้นพิมพ์ เพราะใช้ดัชนีนิ้วเดียว พิมพ์ดีด แต่ความเร็วและผลงานที่ได้อาจจะทำให้เลขาหน้าห้องของบริษัทไหน อายเอาได้ง่ายๆ
                แต่โลกใบนี้หมุนเร็วเกินไปครับ พออินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้คนบนโลกมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกชนิดที่บอกได้ว่า”โลกใบนี้ จะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนดั่งเดิม”
                คนข่าว ก็ไม่ได้รับการละเว้น...เฉกเช่นกัน
                นับวันสังคมของความเป็นจริงของผู้คนบนโลก โดนลดบทบาทความสำคัญลงไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็นสังคมออนไลน์ ที่เข้ามาแทนที่ ถ้า 5 ปีก่อน มีคนมาบอกว่าเชื่อมั้ยว่าคนไทยต่อไปอีกไม่กี่ปีจะหมกหมุ่นอยู่กับโลกของโชเชียล เน็ตเวิร์ค ผมคงส่ายหัวบอกว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าเป็นฝรั่งมังค่าอาจจะเป็นไปได้ง่าย แต่คนไทยคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น
                สุดท้ายก็หน้าแหกตามระเบียบ เพราะลืมจุดเด่นของคนไทยที่คนทั้งโลกต่างกลัวเกรงคือ
คนไทยเป็นคนชอบบริโภคและเป็นนักซื้อตัวยง  เราเป็นประเทศเล็กๆ แต่ชื่อเสียงเรื่องช๊อปแชมป์นั้น เราได้ตำแหน่งมานานแล้ว ฝรั่ง ยุ่น จีน แขก ฯลฯ ต่างซูฮกในพฤติกรรมการซื้อ แบบราบเป็นหน้ากลองของพี่ไทยมานมนานแล้ว
ว่ากันว่า ทัวร์ไทยไปเที่ยวเมืองนอก ลงช๊อปร้านไหน ถ้ายี่ห้อถูกใจ...มีเท่าไหร่ ก้อหมด!
มาถึงตอนนี้คนไทยสร้างชื่อครั้งใหม่ ลบโปรไฟล์ “ช๊อปแชมป์”ออกไป หลังมีการเปิดสถิติว่าในบรรดาเมืองหลวงของโลกใบนี้นั้น เมืองหลวงของประเทศไหนครองแชมป์มีประชากร เฟซบุ๊ค ของคุณน้องมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ค มากที่สุด
บางกอก เมืองหลวงของสยามประเทศไทยขึ้นแท่นคว้าแชมป์อันดับหนึ่งด้วยยอดประชาชนกรเฟซบุ๊คถึง 8,600,00 คน อันดับสองก็คือประเทศที่มีคนนับถืออิสลามมากที่สุดในโลก บ้านใกล้เรือนเคียงในย่ายอาเซียนนี่เอง กรุงจาการ์ต้า ของอินโดนีเซีย วิ่งไล่ขึ้นมาเป็นอันดับสองด้วยยอด 7,400,000 คน ส่วนที่สามคือ อิสตันบลู ของตุรกี ที่มีคนเล่นเฟซบุ๊คเฉพาะในเมืองหลวง 7,000,000 คน
มหานครลอนดอน ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องคุกเข่าคารวะในลำดับที่สี่ เพราะถึงแม้จะมีคนแออัดยัดเยียด แย่งกันอยู่ แย่งกันหายใจขนาดไหน ยังมีคนเล่นเฟซบุ๊คแค่ หกล้านหนึ่งแสนคนเท่านั้น
เห็นมั้ยครับ ว่าไทยเราเจ๋งจริง ไรจริง จนคนต่างชาติบางคนอิจฉาออกมาพูดเชิงกระแนะกระแหนว่า”เรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ย...คนไทย เก่งนัก!555
วกกลับมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัว คือสังคมข่าวในยุคนี้ สมัยนี้ ที่ไม่ต้องเถียงว่าโลกออนไลน์ ในปี พ.ศ.นี่สำคัญขนาดไหน เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณๆเดินเข้าไปในร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ แล้วมองดูรอบตัว ถ้าเผอิญว่าผู้คนในร้านไม่มีใครก้มหน้า ก้มตา กดโทรศัพท์แชดบ้าง หรือเล่นเฟซบุ๊คบ้าง หรือเล่นเน็ตบ้าง ขอให้ขยี้ตา แล้วกลับเข้าไปมองอีกหน ถ้ายังเจอผลลัพท์เดิมๆให้อุปมาได้ว่า เป็นร้านของผู้สูงวัย และไม่มี Wi-Fi ให้ใช้...
ดังนั้นเมื่อโลกอนาคตบังคับให้ผู้คนต้องออนไลน์ ดังนั้นนักข่าวทั้งหลายก็ต้องแปลงกายมาเป็น”นักข่าวออนไลน์”ให้เข้ากับยุคสมัย
คุณสุทธิชัย หยุ่น “เจ้าพ่อเนชั่น” ซึ่งบรรดาน้องๆยกนิ้วให้เป็นปรมาจารย์ของคนข่าว คุณสุทธิชัย ด้วยความที่เป็นคนที่โลกกว้าง คุณสุทธิชัย มองเห็นว่าอนาคตของนักข่าวเมืองไทยจะต้องเดินไปอย่างไร หลายปีที่ผ่านมา หลายสำนักข่าวยังคงไม่ตื่นตัวต่อสภาวะโลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คุณสุทธิชัย ได้เรื่มเปลี่ยนพฤติกรรมนักข่าวของสำนักข่าวของตนเพื่อรับมือกับโลกของข่าวสารในอนาคต เพราะยิ่งเปลี่ยนช้า นั่นย่อมหมายถึงล้าหลังไปทุกนาที
ผมเองติดตามวิสัยทัศน์ของสุทธิชัย หยุ่นมาตลอด แถมแอบเอาเป็นต้นแบบในการทำข่าว พี่ๆน้องๆนักข่าวหลายคนที่กำลังเป็นนักข่าวออนไลน์ อาจจะยังสับสนและไม่เข้าใจบทบาทของคำว่า”นักข่าวออนไลน์”ที่จะต้องรับมือกับอะไรบ้างในอนาคต ผมขอหยิบบทความของคุณสุทธิชัย ที่เขียนในบล็อกเอามาเผยแพร่อีกรอบ เพื่ออย่างน้อยอาจจะสร้างมุมมองสำหรับโลกออนไลน์....






คุณสุทธิชัย หยุ่นเขียนเล่าไว้ในบทความว่า
“ห้องข่าวดิจิตัลคือศูนย์ปฏิบัติการที่คนทุกตำแหน่งทุกหน้าที่จะต้องปรับตัว,ปรับความคิด, ปรับทัศนคติต่อการทำงานข่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ใช่เพียงบอกว่าเห็นด้วยกับการต้องปรับเปลี่ยน, แต่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก็ยังใช้กระบวนการคิดและทำงานเหมือนเดิม
อย่างที่มีคำกล่าวในหลายวงการว่า "ยิ่งเปลี่ยน,ยิ่งเหมือนเดิม"
             แต่สัจธรรมวันนี้สำหรับคนข่าวก็คือว่าหากเขาไม่เปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเป็นไปของการรับรู้ข่าวสารในสังคม เขาก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่มีความปรานีสำหรับคนที่ปฏิเสธความเป็นจริงของวันนี้
            เข้าสูตร Adapt or Die
            หรือ Change...or be changed

นั่นแปลว่าหากคุณไม่เปลี่ยน, คุณก็จะถูกเปลี่ยนอยู่ดี
เริ่มจากกระบวนการทำงานของนักข่าวในภาคสนามซึ่งจะต้องใช้ความเป็นดิจิตัล และ social media รวมถึงความ
            สามารถในการใช้ "ปัญญาแห่งฝูงชน" (wisdom of the crowd) ในการตรวจสอบ, แสวงหา, วิเคราะห์, ระดมความคิด, แจกแจงและแจกจ่ายข่าวสารและข้อมูลอย่างคล่องแคล่วทึ่จังหวะการทำงานตลอดทั้งวัน
 ถ้าคุณเป็นนักข่าวสายทั่วไป, คุณใช้ทวิตเตอร์ในการรายงาน breaking news ณ นาทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
หากคุณอยู่สายข่าวทำเนียบรัฐบาลหรือสภาฯ คุณต้อง live-tweet การประชุมที่มีความสำคัญ และเพื่อรวบรวมความ
          เคลื่อนไหวของข่าวเดียวกันให้เห็นภาพรวม คุณก็จะส่งข้อความที่ทวีตหลาย ๆ ข้อความไปที่ blog ของคุณเพื่อให้เห็น ภาพรวมและเบื้องหลังของข่าวที่สามารถตีความให้สอดคล้องกับความต้องการของคนอ่านได้
                        หากคุณใช้ Storify เป็น คุณก็สามารถรวบรวมข้อความทั้งของคุณและคนอื่น ๆ ที่ทวีตหรือที่เขียนลงเฟซบุ๊คและคลิบที่ส่งขึ้น YouTube ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเพื่อการเรียบเรียงและรวบรวมให้เห็นการไหลเทของเหตุการณ์หรือความเห็นใน แต่ละเรื่องนั้น ๆ อย่างเป็นระเบียบและตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำได้อย่างต่อเนื่อง
                       ทุกวันนี้ คนข่าวที่คล่องแคล่วจรู้จักวิธีใช้ Twitter, Facebook, Google+ และ YouTube ให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการทำข่าวและสร้างชุมชมข่าวของตน
                      ไม่ว่าคุณจะอยู่สายข่าวไหน การทำงานของคุณจะผสมผสานวิธีการทำงานแบบดั้งเดิมแต่ทรงประสิทธิภาพ นั่นคือการเช็ค
  ข่าวด้วยโทรศัพท์, ด้วยการนัดพบแหล่งข่าว และตรวจสอบข่าวดิจิตัลผ่านการเฝ้าติดตาม #hashtags หรือ feeds ในทวิตเตอร์และหน้าของเฟซบุ๊ค อีกทั้งใช้ Searches ของ social media อย่างเป็นระบบ
              คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้ TweetDeck หรือ HootSuite หรือ Twitter Lists ในการเฝ้าระวังแหล่งข่าวสำคัญ ๆ รวมไปถึงการค้นหาและ hashtags ของคนอื่น ๆ ที่เกาะติดเรื่องราวที่อยู่ในสายข่าวของคุณอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
               ในฐานะนักข่าวดิจิตัลในภาคสนาม คุณทวีตข่าวที่เกิดขึ้น และส่งข้อความเบื้องหลังข่าวไปถึงบรรณาธิการข่าวของคุณ
                  ทันทีที่คุณตรวจสอบความแม่นยำอย่างรวดเร็วและฉับพลัน
อย่าให้ "ความเร็ว" มาทำลาย "ความแม่นยำ" หรือ "ความน่าเชื่อถือ" เป็นอันขาด
ดั่งคำขวัญที่ผมคิดว่าควรจะต้องเขียนตัวโต ๆ ติดไว้ข้างฝาของห้องข่าวทุกห้อง: Get it first. But first, get it right.
         ในกระบวนการทำงานข่าวประจำวันนั้น นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักใช้ crowdsourcing อย่างชาญฉลาด..นั่นแปลว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปที่เข้ามาอยู่ใน social media เช่นหากเป็นข่าวใหญ่หรือที่มีความสำคัญต่อชุมชน คุณก็ควรจะเข้าไป  live chat กับเพื่อนหรือผู้ตามคุณในเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม, ความเห็นแย้ง, หรือมุมมองที่คุณมองข้าม
                   บ่อยครั้ง, คนที่อยู่ในแวดวงเครือข่ายสังคมจะสนทนากันในหัวข้อที่กำลังเป็นข่าวร้อนอยู่แล้ว คนข่าวจึงควรจะเข้าไปร่วมสนทนา หรือสอดแทรกข้อมูลและเบื้องหลังข่าวที่ตนได้มาจากการเช็คข่าวเพื่อให้การแลกเปลี่ยนใน social media เข้าประเด็นของเนื้อหาที่คุณกำลังเกาะติดอยู่ หรือเรียนรู้มุมมองใหม่ที่คุณคาดไม่ถึง
            เพราะ "ปัญญาแห่งฝูงชน" นั้นมีอยู่จริงและบ่อยครั้งจะทำให้ปัญญาของคนทำข่าวได้รับการเสริมส่งให้กว้างขวางและลุ่มลึกขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
            นักข่าวรุ่นใหม่จะต้องมีความคึกคักในการแสวงหาและใช้ "ฐานข้อมูล" หรือ databases เพื่อการนำเสนอลักษณะ interactive และให้การเสนอข้อมูลมีทั้งภาพ, กราฟฟิค, วีดีโออย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
          นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักการใช้ #hashtag ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อของเรื่องราวที่คุณติดตามอยู่ หรือชื่อของชุมชนที่คุณรับใช้
             ด้านข่าวสาร หรือสองอย่างผสมกันเพื่อความสะดวกในการติดตามข่าวและความเห็นในหัวข้อนั้น ๆ ทั้งจากคุณเองและผู้ที่ติดตามการทำงานของคุณในทุกรูปแบบ
             เพราะเมื่อคุณใช้ #hashtag ใดในการทำข่าวหัวข้อใด, ชุมชนทั้งหมดที่เกาะติดเรื่องราวของคุณอยู่ก็สามารถจะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกันเองหรือกับคุณอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
            อย่าลืมว่านักข่าวดิจิตัลต้องเตือนตัวเองเสมอว่าจะต้องคิดวิธีนำเสนอข่าวในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, แผนที่, ภาพ, ข้อความ, เอกสารต้นทาง, ลิงก์ไปยังแหล่งข่าวและข้อมูลอื่น ๆ
          การสร้าง "อัตตลักษณ์" ของตัวเองควบคู่ไปกับ "brand" ขององค์กรข่าวของตนคือเส้นทางแห่งการสร้างความเป็น "คนข่าวมืออาชีพยุคดิจิตัล" อย่างถาวรและแท้จริง
คนข่าวภาคสนามที่เรียกตัวเองว่า "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" แต่ดั้งเดิม ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และต้องถือว่าตนเป็นเป็น "คนข่าวภาพ" หรือ visual journalist ซึ่งย่อมหมายความว่าจะรายงานข่าวและภาพ, วีดีโอและทุกอย่างที่เสนอผ่านสายตาของผู้บริโภาคข่าวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
            ในการปฏิบัติหน้าที่แบบ "Digital First" นั้น คนข่าวภาพจะวางตัวให้ทำกิจกรรมอย่างนี้
              ๑. ก่อนอื่นใช้มือถือรุ่นใหม่ถ่ายภาพเหตุการณ์หรือสิ่งที่พบเห็นทันทีและส่งทวีตหรือขึ้นบล็อกเป็น breaking news ทันที
๒. พร้อมกันนั้น เขาหรือเธอก็จะถ่ายวีดีโอ ไม่ว่าจะใช้กล้องวีดีโอใน smartphone หรือด้วยกล้องที่ใช้ในการรายงานข่าวทีวี
๓. คนข่าวภาพต้องคิดทันทีว่าจะถ่ายภาพหลาย ๆ มุมเพื่อสามารถจะทำเป็น slideshow ในภายหลัง และสามารถจะเลือกเอารูปที่โดดเด่นที่สุดของเหตุการณ์นั้น ๆ สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ในวันต่อไป
๔. เขาต้องไม่ลืมที่จะอัดเสียงรอบด้าน หรือเสียงให้สัมภาษณ์ของแหล่งข่าวในเหตุการณ์นั้นด้วยอุปกรณ์อัดเสียงที่ทุกวันนี้
             มีมากมายและ ติดมากับกล้องในทุกรูปแบบ เพื่อจะได้ใช้ประกอบ slideshow ที่จะทำขึ้นเว็บไซท์หรือบล็อกของตัวเอง
๕. หากมีโอกาส เขาจะถ่ายรูปหน้าของคนเป็นข่าว (mugshots) เพื่อใช้ประกอบบทความหรือสารคดีหรือใช้ในอนาคตเมื่อแหล่งข่าวนั้น ๆ กลายเป็นข่าวอีกในวันข้างหน้า
๖. หากเป็นกรณีภัยพิบัติ เขาจะถ่ายรูปของตึกรามบ้านช่องหรือฉากเหตุการณ์เพื่อจะได้นำไปใช้งานอีกหลายด้านที่นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ หากมีความจำเป็นต้องใช้ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในวันข้างหน้า
๗. คนข่าวภาพต้องไม่ลืมสอบถามและจดชื่อเสียงเรียงนามและตำแหน่งแห่งหนให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะข้อมูลเช่นนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อต้องนำเสนอพร้อมกับผลงานภาพนิ่ง, วีดีโอ, กราฟฟิกที่จะมีขึ้นในสื่อต่าง ๆ
๘. คนข่าวภาพภาคสนามจะปรึกษากับหัวหน้าโต๊ะหรือบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดว่าจะตัดต่อวีดีโอหรือเลือกภาพนิ่งใดในการนำเสนอ ไม่ว่าจะเอาขึ้นเว็บไซท์, บล็อก, เฟซบุ๊ค, ยูทูปหรือเพื่อตีพิมพ์ในสื่อของตนในเวลาต่อมา
              จะเห็นว่าในโลกสื่อยุคดิจิตัลวันนี้ คนข่าวที่คิดว่าตัวเองเป็นแค่ "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" และมีหน้าที่ถ่ายภาพหรือวีดีโออย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการรายงานข่าวหรือบรรยากาศสีสันบรรยากาศ ณ ที่เกิดเหตุจะกลายเป็นคนรุ่นเก่าและจะถูกคนข่าวรุ่นใหม่ที่ฝึกปรือมาเป็น digital journalists for all platforms แซงหน้าจนหาบทบาทของตัวเองไม่เจอ
การปรับบทบาทครั้งใหญ่สำหรับห้องข่าวหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ "หัวหน้าโต๊ะ" หรือ "บรรณาธิการโต๊ะ" จะต้องเข้าใจบริบทใหม่ของ "อนาคตแห่งข่าว"
          ไม่ใช่แค่คนข่าวที่ต้องปรับตัวให้เข้ายุคดิจิตัล, ตำรวจไทยก็เริ่มเข้ามาใช้ social media ในการสร้าง "ชุมชนข่าว" ที่จะสอดประสานกับความต้องการของคนในเมืองหลวงที่ต้องการร่วมในการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมอย่างคึกคักแน่นอน
       สน. หัวหมากเป็นหน่วยงานตำรวจแห่งแรก ๆ ที่เปิด Facebook เพื่อให้เป็นแหล่งรายงาน, แจ้ง, และรับคำร้องเรียนจากประชาชนเพื่อช่วยในการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างฉับพลันทันการ อีกทั้งยังเป็นแหล่งข่าวสารที่ชุมชนข่าวสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างทันท่วงทีและกว้างไกล
        
......................................................................................................................................................

                ปลายปีที่ผ่านมา เชียงใหม่นิวส์ ได้มีการขยับตัวอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ผ.อ สราวุธ แซ่เตี๋ยว สั่งให้กองบรรณาธิการตั้ง”นักข่าวออนไลน์”ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อเป็นนักรบชุดแรกที่กระโจนเข้าไปในสังคมของข่าวออนไลน์ งานนี้มีการติดอาวุธ ด้วยสมาร์ทโฟนจากค่ายดัง เพื่อแปลงร่างให้นักข่าวทุกคน เป็น”โมโจ” ที่ย่อมาจาก Mojo (mobile journalist)

                ณ.บัดนาว หลังจากผ่านมาหลายเดือน ทีมงาน”ข่าวออนไลน์”ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้องๆไฟแรงทั้งหลาย กำลังเป็นกำลังหลักที่จะปรับเปลี่ยนเชียงใหม่นิวส์ให้เข้าสู่สนามข่าวแบบออนไลน์ เพื่อนำข้อมูล ข่าวสารต่างๆมานำเสนอให้ผู้คนทั่วไป ทั้งที่เป็นลูกต้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน หรือคนที่อ่านข่าวผ่านเว๊บไซต์ รวมถึงตามข่าวสารแบบฉับไวผ่านทางทวิตเตอร์ Live_chiangmai ซึ่งมีการรายงานข่าวสารแบบฉับไวตลอด 24 ชั่วโมง

                อนาคตของข่าวสารในโลกออนไลน์ จะปรับโฉมไปอีกเท่าใด มั่นใจว่าไม่มีใครทำนายได้ เพราะโลกของข่าวสารไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้นนวัตกรรมใหม่ๆก็ต้องผุดขึ้นมาอวดโฉมตามมาเรื่อย ๆเฉกเช่นกัน

               อนาคตของ”นักข่าวออนไลน์” จึงน่าติดตาม ด้วยความตื่นตา ตื่นใจ เป็นอย่างยิ่ง...

                                                                                                                                                                                        กุนซือ

 

 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น