เทศกาลกินเจ ปีนี้ค่อนข้างคึกคักครับ สาเหตุหนึ่งเพราะคนไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเทศกาลกินเจกันมากขึ้นเรื่อยๆ นัยว่า นอกจากเป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์แล้ว ยังเป็นการ”ล้างพิษ”ให้กับร่างกายอีกทางหนี่ง
ยิ่งปีนี้ไม่ต้องพูดถึง ยอดประชากรกินเจ ของเมืองไทยจะต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา โดยส่วนหนึ่งตั้งวัตถุประสงค์ว่าเป็นการกินเจเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำบุญถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถือเป็นปีนี้ เป็นการกินเจแบบ”สุขกาย สุขใจ”
แต่ก็เป็นกฎแห่งการค้า เมื่อใดก็ตามที่”ดีมานด์”มากกว่า”ซัพพลาย” ราคาสินค้าจะต้องขยับตัวเป็นเรื่องธรรดา ปีนี้ เทศกาลกินเจของเมืองไทยเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 11 -20 ตุลาคม ช่วงนี้ นักข่าวก็ตระเวนไปถามราคาผัก ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งมาเจอน้ำท่วมกระหน่ำเข้าอีกราคาผัก ก็เลยพุ่งในแนวตั้งฉาก จนหลายคนต้องมีการปรับกลยุทธ เพื่อให้กับเทศกาล “ธงเหลือง” อาทิ เลือกใช้วัตถุที่จะซื้อมาทำอาหาร อาจจะเลือกผักที่ราคาไม่สูงมากนัก เขาตำราเน้น”ปริมาณ” แต่ไม่เน้น”คุณภาพ” เพราะถือว่าตามกฎ กติกา มารยาท ไม่ได้ระบุไว้
เหมือนกับคติของผู้นำจีนที่ว่า “หนูไม่ว่าสีดำ หรือสีเทา ถ้าจับหนูสำเร็จ ก็ถือว่าใช้ได้”
อีกด้านที่เป็นผู้ผลิต ก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน จากตัวเลขมูลค่าตลาดอาหารเจ ในเมืองไทยสูงถึง 6,000 ล้านบาท โดยเมืองฟ้าอมร กรุงเทพมหานครเป็นตัวนำ ที่มีเม็ดเงินบริโภคสูงถึง 2,000 ล้านบาทต่อปี เหมือนตัวเลขแบบนี้ บรรดาผู้ผลิตทั้งหลายก็เกิดอาการน้ำลายหก
ตลาด”ธงเหลือง” ก็เลยเดือดปุดๆ ผู้ผลิตแย่งลูกค้ากันยกใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ช่วงนี้เดินเข้าตลาด หรือศูนย์การค้า เหลียวซ้ายมองขวา จะมองเห็นแต่ธงเหลือง เขียนกลางธงว่า”เจ” โบกสะบัดอยู่ทุกพื้นที่
บรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารก็เลยหันมาขยายผลิตภัณฑ์อาหารเจหลากหลายชนิดตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเจแช่เย็นแช่แข็ง อาหารเจกึ่งสำเร็จรูป และเบเกอรี่เจ
ทำให้ผู้ที่ต้องการบริโภคอาหารเจมีทางเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคยังเน้นนโยบายประหยัด อยากกินเจ เพื่อสุขภาพในสไตล์”รัดเข็มขัด”
ทำให้บรรดาผู้ที่จำหน่ายอาหารเจบางรายต้องปรับตัวโดยการใช้กลยุทธ์ไม่ปรับราคา โดยอาจจะปริมาณลงเล็กน้อยหรอปรับวัตถุดิบเพื่อเฉลี่ยต้นทุนไม่ให้เพิ่มขึ้นมากนักทำให้สามารถจำหน่ายในราคาเดิมได้
แต่เชือว่าปีนี้อาจจะมีอาหารเจ รูปแบบใหม่ๆ มานำเสนอให้กับประชาชนคนไทยทั้งหลายได้เห็นมากขึ้น เพราะเดาออกว่า ตลาดอาหารเจ ปีนี้ เงินสะพัดมากกว่าทุกๆปีแน่นอน โดยมีกระแส”กินอาหารสุขภาพ(เจ) เพื่อในหลวง” เป็นตัวฉุดเรตติ้ง
เรื่องการพลิกแพลง ประดิดประดอย นี่ขอยกนิ้วให้คนไทยอยู่แล้วครับ เทศกาล”ไหว้พระจันทร์”ที่ผ่านมา ยังมีขนมไหว้พระจันทร์ ใส้ ต้มยำกุ้ง ออกมายลโฉมให้คนซื้อต้องเกาหัว จินตการไม่ค่อยออกว่ารสชาดจะกลมกล่อมในแนวไหน
ปีนี้ ตั้งใจว่าจะออกเดินสำรวจ เพื่อหลังเสร็จเทศกาลเจ ต้องมาคุยกับคุณๆอีกครั้งว่า”นวัตกรรม อาหารเจ”ของประเทศไทยปีนี้ จะ”อะเมซซิ่ง” แค่ไหน.......โปรดติดตาม
กุนซือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น