วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตะลุย.."มาเก๊า" พ.ค 2555







เกาะปีกแอร์เอเชีย...

ตะลุย”มาเก๊า”



                วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แอร์เอเซียเขาได้เวลาดีเดย์เปิดไฟล์ทบินเที่ยวแรกที่บินจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังมาเก๊า ดินแดนที่เลื่องชื่อเรื่องเสี่ยงโชค งานนี้เขาส่งเทียบเชิญมาให้ผม เลยได้รับอานิสงส์บินตรงไปเมืองคาสิโนในฐานะผู้โดยสารชุดแรก สำหรับคนเหนือที่อยากไปเที่ยวมาเก๊าหรือฮ่องกง จากนี้ไปคงสะดวกสบายมากขึ้นเพราะไม่ต้องเดินทางไปนับหนึ่งที่กรุงเทพอีกต่อไป เริ่มต้นสตาร์ทที่เชียงใหม่ก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน


                แอร์เอเชียบินไปมาเก๊าวันละ 1 เที่ยวบิน เครื่องเริ่มเทค-ออฟ จากสนามบินเชียงใหม่เวลา 16.15 น.ใช้เวลาบินประมาณ สองชั่วโมงสี่สิบนาทีก็ แลนดิ้งลงสนามบินมาเก๊า ส่วนคนที่อยาก “ทูอินวัน”อยากเที่ยวทั้งมาเก๊าและฮ่องกง ก็ไม่ยุ่งยากเพราะมาเก๊ากับฮ่องกงนั้นระยะห่างกัน 50 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น สามารถซื้อตั๋วเรือนั่งเรือข้ามไปแบบสบาย ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเรือก็เทียบท่าเกาะฮ่องกง


                หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าจะมาเที่ยวมาเก๊าและฮ่องกง ควรจะเลือกแลกเงินสกุลไหนมาใช้ ต้องเล่าขานว่าเงินสกุลของฮ่องกงนั้นคือฮ่องกงดอลล่าร์ ส่วนมาเก๊านั้นใช้เงินสกุลปาคากาส์  โดยอัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลนั้นใกล้เคียงกันครับ  หนึ่งเหรียญฮ่องกงก็แลกได้หนึ่งปาคากาส์  สำหรับนักเที่ยวชาวไทยทั้งหลายขอแนะนำให้แลกเป็นดอลล่าร์ฮ่องกงครับ เพราะสามารถใช้ได้ได้ที่มาเก๊าและฮ่องกง คนมาเก๊าเองก็ดูแฮปปิ้เวลาเราจ่ายเป็นเงินฮ่องกง แต่ในขณะเดียวกันเงินปาคากาส์ของมาเก๊า ไม่สามารถนำไปใช้ในฮ่องกงได้  แต่ไม่ต้องห่วงถ้าคุณอยู่ในมาเก๊าถ้าซื้อของ แม้แต่ร้านขายของชำ ถ้าจ่ายเงินเป็นเงินฮ่องกงเค้าก็จะทอนเป็นเงินฮ่องกงได้ครับ
                มาเก๊า นั้นตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง มีเนื้อที่ทั้งหมดแค่ 29.2 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าอำเภอเมือง ของเชียงใหม่ถึง 5 เท่า  ประชากรก็มีแค่ 550,000 คน ในขณะที่เชียงใหม่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 1,646,144 คน เกาะมาเก๊าประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊าที่ติดอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่ ,เกาะไทปา,เกาะโคโลอาน และเกาะโคไท การเดินทางระหว่างเกาะต่างๆจะเชื่อมด้วยสะพานเป็นหลัก 
                ตอนนี้รัฐบาลจีนมีโครงการอภิมหาโครงการยักษ์ คือกำลังจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฮ่องกงกับมาเก๊า โดยสะพานวิ่งผ่านทะเลจากทั้งสองเกาะ ความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร แถมสะพานที่ใกล้ๆจะถึงมาเก๊าจะมีช่องทางแยกเข้าเมืองจูไห่ ของเมืองจีน คาดการณ์ว่าประมาณปี 2016 นักท่องเที่ยวทั้งหลายอาจจะมีทางเลือกโดยการนั่งรถข้ามไปยังเกาะฮ่องกงแทนการนั่งเรือเฟอรรี่ เหมือนในอดีต


                วันแรกของคณะทัวร์สื่อมวลชนเริ่มต้นที่วัดอาม่า วัดที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดของเกาะมาเก๊า  ตามตำนานเล่าว่า”อาม่า”มีพระนามเดิมว่า”หลิงม่า”หญิงสาวชาวฟูเจี้ยน ที่วันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขา วจึงขอโดยสารมากับเรือประมงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นเรือลำเล็กๆที่ยอมให้เธอโดยสารข้ามฟาก ในขณะที่เรือลำอื่นๆปฏิเสธ ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเล เกิดพายุพัดขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง แต่เกิดปาฏิหาริย์เรือที่เธอนั่งมาด้วยเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ทันทีหลิงม่า ก้าวขึ้นฝั่ง เธอก็ลอยขึ้นฟ้าแล้วลอยลับหายไป ชาวประมงจึงเชื่อว่าเธอคือเทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นมาดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า”อ่าวของอาม่า”หรือ”อา-หม่า-เกา” ต่อมาก็พูดเสียงเพี้ยนกันกลายเป็น”มาเก๊า”ในปัจจุบัน


                คนไทยที่มานมัสการ”อาม่า”ที่วัดค่อนข้างเยอะครับ เดินกันแบบไหล่ชนไหล่กันเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะมาขอพร และโชคลาภ ก็ของแน่อย่างหนึ่งคือมาเก๊าได้ชื่อว่าเป็นลาสเวกัสแห่งเอเซีย แดนแห่งการพนันแห่งนี้ ผู้คนที่เดินทางมาเสี่ยงโชค ก็ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่นเพื่อขอให้ตัวเองโชคดีกันเป็นแถว
                สำหรับคนที่เชื่อเรืองโชค เรื่องดวง เขาบอกว่าเวลาเดินผ่านประตูวัดในแต่ละชั้น ถ้าเป็นผู้ชายให้ก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน ส่วนผู้หญิงก็ให้ก้าวเท้าขวา เพราเชื่อว่าเป็นการเดินขึ้นส่สวรรค์
                ข้อดีอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือ ทางรัฐบาลของมาเก๊า เค้าจะให้บริการอินเตอร์เน็ต wi-fi ฟรีตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ โดยใช้ชื่อว่า” wi-fi  go” คงเข้าใจว่าโลกของคนยุคใหม่ต้องอัพโหลดรูปภาพ ข้อมูล ข่าวสารให้ทันใจ มาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแล้วก็ยืมดาบบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายนี่แหละครับ ที่ชอบถ่ายรูป ถ่ายวิว แล้วโพสตาม โชเชียล มีเดีย ทั้งหลายเป็นตัวช่วยเผยแพร่การท่องเที่ยวของมาเก๊าแบบง่ายๆ
                เรื่องนี้ผมว่า ททท.เมืองไทยน่าจะเดินตาม เพราะเท่าที่สอบถามบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างถูกอก ถูกใจกันเป็นทิวแถว ใช้เงินไม่มากแต่ผลลัพท์คุ้มค่าครับ


                แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของมาเก๊าคือ”มาเก๊าทาวเวอร์” ซึ่งเป็นหอคอยที่มีความสูงเป็นอันดับ 8 ของเอเซียและสูงเป็นอันดับ 10 ของโลกมีความสูงทั้งสิ้น 338 เมตรเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2001โดยข้างในมีทั้งศูนย์การค้า ห้องจัดประชุม ภัตตาคาร โรงภาพยนตร์ฯลฯ สำหรับคนที่ชอบกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีน เขาก็มีกิจกรรมให้ท้าทายไม่ว่าจะเป็นการเดินชมวิวภายนอกทาวเวอร์ที่มีความสูง 233 เมตร หรือจะกระโดดบันจี้ จัมพ์ ก็เลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย
                มาถึงย่านช๊อปปิ้งชื่อดังที่สุดของมาเก๊า ที่นักเที่ยวหญิงของไทยร่ำร้องอยากมาที่สุดคือ”เซนาโด สแควร์”




                “เซนาโด สแควร์”นั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ในบริเวณนี้จะมีตึกที่ถูกสร้างตามสไตล์ยุโรป สวยงามมาก พื้นปูด้วยกระเบื้องลวดลายขาวสลับดำเป็นรูปคลื่น รอบๆบริเวณนี้จะมีร้านาแบรนด์เนมให้เลือกซื้อสินค้ากันอย่างมากมาย โดยแต่ละร้านตกแต่งอย่างสวยงามล่อใจขาช๊อปปิ้งทั้งหลายให้เข้าไปเลือกชม


                “เซนาโด สแควร์”และพื้นที่ใกล้เคียงนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง และหลายแห่งก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว แต่สถานที่คนไทยคุ้นตามากที่สุดก็คือซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ที่ใครมามาเก๊าก็ต้องมาแอ๊คชั่นถ่ายรูปตรงนี้ ไม่งั้นถือว่ายังมาไม่ถึงมาเก๊า


                ถ้ามาถ่ายรูปที่ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลแล้ว พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือต้อง หาซื้อ”ทาร์ไข่”ซึ่งเป็นขนมชื่อดังของมาเกามาลิ้มชิมรส ร้านดังต้นตำรับก็ตั้งอยู่แถวบันไดทางขึ้นโบสถ์เซนต์ปอล นั้นแหละครับ แถมยังมีหมูแผ่นให้ซื้อติดไม้ติดมือมาฝากคนทางบ้านได้อีกต่างหาก แต่ไกด์ของคณะแอบแนะนำว่า ลองซื้อปลาเค็มกับกะปิ ของมาเก๊ากลับไปฝากเพื่อนฝูง รับรองว่าอร่อยแบบไม่รู้ลืม เพราะวัสดุทำมาอย่างดี อร่อยนักอร่อยหนา เป็นที่เลื่องลือของนักท่องเที่ยวในช่วงหลังที่เริ่มหันซื้อปลาเค็มกับกะปิ กลับเมืองไทยกันมากขึ้นเรื่อยๆ


                การเดินทางในมาเก๊าค่อนข้างสะดวกครับ เนื่องจากรถราไม่ติดเหมือนกับบ้านเรา เชื่อมั้ยครับถ้าถนนเส้นไหนรถติดเกินห้านาที คนมาเก๊าจะเริ่มโวยวายแล้ว เพราะถือว่ารถติดนานเกินไป สาเหตุหนึ่งคือการซื้อรถส่วนบุคคลใช้ที่มาเก๋าค่อนข้างจะลำบากซักหน่อย รถคันหนึ่งราคาก็ไม่สูงมากนัก แต่ที่เหนื่อยที่สุดคือกฎหมายกำหนดว่าก่อนซื้อรถทุกครั้ง คุณต้องไปหาที่จอดรถให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าจะซื้อรถยี่ห้ออะไร เนื่องจากพื้นที่มีน้อย ดังนั้นที่จอดรถราคาก็แพงเหมือนทองคำ ที่จอดรถคันหนึ่งราคาประมาณล้านกว่าบาท ดังนั้นคนที่จะมีรถขับได้ในมาเก๊าก็ต้องถือว่ามีสตุ้งสตางค์พอสมควร บางส่วนก็หันไปใช้มอเตอร์ไซต์ สนนราคาคันหนึ่งก็ราคาไม่ใช่น้อยอยู่ในระดับคันละแสนกว่าบาท


                แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆท่านๆ  สามารถใช้รถของบรรดาคาสิโนทั้งหลายที่วิ่งให้บริการฟรีระหว่างคาสิโนต่างๆครับ เป็น”ชาร์เตอร์ บัส”แต่ต้องศึกษาหน่อยว่าจะเดินทางไปไหน แล้วอยู่ใกล้คาสิโนที่ใด ก็สามารถเลือกนั่งได้ตามชอบใจ ไม่ต้องเสียตังค์ โดยรถชาร์เตอร์ บัส ที่วิ่งระหว่างคาสิโนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันใช้เวลารอประมาณ 10-20 นาที
                สมัยก่อนเวลาคนมาเที่ยวมาเก๊า เป้าหมายหลักคือต้องไปสัมผัส”เซนาโด สแควร์”เพราะได้ทั้งช๊อปปิ้งและเที่ยวชมมรดกโลก แต่ตอนนี้ค่านิยมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามายังมาเก๊า ต่างตั้งเข็มทิศมุ่งไปสถานที่แห่งหนึ่งที่ว่ากันว่า..พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


                “คาสิโน เดอะ เวเนเชี่ยน (the vanetine  macau resort)” บ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
                “เวเนเชี่ยน” นั้นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถือเป็นเอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ที่เร้าใจที่สุดในเอเชีย มีห้องพักสวีตรวมกันถึง 3,000 ห้องแต่ละห้องมีเนื้อที่กว้าง 70 ตารางเมตร ราคาห้องเฉลี่ยแล้วประมาณคืนละหกพันกว่าบาท
                ในส่วนของคาสิโนนั้น “เวเนเชี่ยน”ถือว่ามีคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีตู้สล๊อตแมชชีน หรือที่คนไทยมักเรียกว่า”โจรแขนเดียว”ถึง 1 พันตู้ และโต๊ะเล่นพนันมากกว่า 600 โต๊ะ เปิดบริการให้นักเสี่ยงโชคตลอด 24 ชั่วโมง

                ในส่วนของคาสิโนนั้นเป็นห้องโถงโปร่งสูง 2 ชั้น ใหญ่โต โอ่โถง ดังนั้นจากชั้นหนึ่งก็ข้ามไปเป็นชั้นสามโดยไม่มีชั้นสอง ใช้บันไดเลื่อนเป็นตัวรับส่งผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ในส่วนชั้นสามนั้นจะเป็นส่วนของ The Grand Canal  ซึ่งจะเป็นส่วนของร้านค้า แบรนด์ชั้นนำให้ช๊อปปิ้งกว่า 350 ร้าน


                และชั้นนี้เองที่ขึ้นชื่อคือเขาจำลองเมืองเวนืช ของอิตาลีมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เวลาเดินเล่นในชั้นนี้อาจจะหลงเคลิ้มว่ากำลังท่องไปในแดนมักโรนี  แถมยังสร้างคลองขึ้น ส่วนเพดานก็ออกแบบเหมือนท้องฟ้าจำลอง เวลาเราเดินไปเรื่อยๆจะเหมือนกับเมฆเคลื่อนที่ได้ ทำให้คนที่อยู่ใน“เวเนเชี่ยน” รู้สึกว่าบรรยากาศน่าเดิน และสัมผัสธรรมชาติที่ดูเหมือนเสมือนจริง


                นอกจากนั้น “เวเนเชี่ยน” ยังได้สร้างคลองจำลองขึ้นมาในชั้นนี้ด้วย เพื่อที่จะเปิดให้บริการพายเรือกอนโดล่า ที่จะพาผู้นั่งเรือล่องในลำนำชมรอบๆเมืองเวนิชจำลองแห่งนี้ พร้อมทั้งสัมผัสกับเสียงขับกล่อมด้วยเสียงเพลงจากฝีพายระดับนักร้องโอเปร่า สมัยแรกๆเขานำฝีพายกอนโดล่าที่มีชื่อเสียงจากเมืองเวนิช สั่งนำเข้ามาขับขานและพายเรือบริการให้กับนักท่องเที่ยว  แต่ตอนนี้ฝีพายทั้งหลายเริ่มแปลงร่างกลายเป็นคนฟิลิปปินส์ซะส่วนใหญ่ เพราะถ้าพูดถึงพรสวรรค์สำหรับเรื่องร้องรำ ทำเพลง ชาวตากาล๊อก ไม่เคยเป็นสองรองใครเหมือนกัน แถมค่าตัวยังถูกกว่าต้นตำรับอีกอักโข


สำหรับสนนราคาถ้าอยากนั่งเรือกอนโดล่าดูซักครั้ง ผู้ใหญ่ประมาณ 500 บาท ส่วนเด็กราคา 370 บาท ใช้เวลาล่องประมาณสิบนาที ก็ถือว่าถ้ามา“เวเนเชี่ยน”แล้ว ก็ต้องลองลงเรือนั่งดู เผื่อจะไปคุยโม้ได้เต็มปากว่าฉันมาถึงแล้วจริงๆ
ตอนนี้มาเก๊ากำลังสร้างเมืองใหม่ เพิ่มเติมขึ้นอีก โดยเมืองใหม่แห่งนี้จะเน้นเป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาเพราะว่าอยากจะแยกบรรดาเยาวชนทั้งหลายให้ห่างๆจากบรรดาคาสิโน เลยไปสร้างเมืองมหาวิทยาลัยแยกออกไปอีกต่างหาก เยาวชนทั้งหลายจะได้ไม่ต้องหลงเสียง สี เสียง คาดว่าไม่นานเมืองนี้คงจะอวดโฉมเป็นหน้าเป็นตาให้กับมาเก๊าอีกครั้ง เพราะพูดเรื่องการก่อสร้างแล้วต้องยกนิ้วซูฮกให้กับเมืองจีนครับ เขาสร้างกันรวดเร็วจนเหลือเชื่อ
ตอนที่โครงการ“เวเนเชี่ยน”คลอดออกมา มีเป้าหลักว่าจะต้องสร้างเสร็จภายในสองปี วิศวกร สถาปนิคทั่วโลกต่างประสานเสียงว่า ด้วยความใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างเสร็จได้ สำนักข่าวรวมถึงค่ายของสารคดีชื่อดังของโลกต่างพากันมาเกาะติดตั้งแต่เริ่มขุด วางเสาเข็ม สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าโครงการที่ว่ากันว่าไม่มีทางทำสำเร็จได้ในเวลาสองปี สามารถเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่เบื้องหลังนั้นก็สร้างกันจนถึงวินาทีสุดท้าย ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนงานเปิดตัวเพียงไม่กี่นาที ถือเป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
มีคนบอกว่าถ้าเมืองจีนเป็นพี่ใหญ่ มีน้องอยู่ 3 คน มาเก๊าเป็นน้องคนเล็กที่กระโดดเข้ามาซบอกพี่ใหญ่อย่างจีนก่อนใครเพื่อน  ต่อมาน้องกลางอย่างฮ่องกง ค่อยๆเขยิบเข้ามาญาติดีกับพี่คนโตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ขณะที่น้องรองอย่างใต้หวัน ยังกระฟัดกระเฟียดทะเลาะกับพี่ใหญ่ไม่ยอมเลิก
แต่เมื่อตอนนี้พี่ใหญ่ นั้นกลายเป็นพี่เบิ้มของโลก คนจีนสมัยนี้เป็น”เศรษฐีใหม่”กันถ้วนหน้า เงินทองใช้จ่ายกันอย่างสะพัด น้องเล็กที่มาเก๊าที่พี่ใหญ่เอ็นดูมาโดยตลอดก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ว่ากันว่าเป้าหมายข้างหน้ามาเก๊าไม่ได้หวังอะไรมากมายขอแค่.....
ผลักอก”ลาสเวกัส”ให้ถอยออกไป แล้วหยิบชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของการพนันมาไว้ในแผ่นดิน....เท่านั้นเอง!

                                                                                                                                กุนซือ
               

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักข่าวออนไลน์-ครบรอบเชียงใหม่นิวส์ 2555









                ถ้านักข่าวรุ่นใหม่ๆสามารถย้อนเวลากลับไปซักประมาณ 20 ปี หลายคนอาจจะตกใจว่าการทำงานของนักข่าวนั้นเปลี่ยนโฉมชนิด”ตุ๊กกี้เปลี่ยนมาเป็นญาญ่า”เลยทีเดียว สมัยก่อนเครื่องไม้ เครื่องมือไม่ไฮเทค มีตัวช่วยมากมายเหมือนสมัยนี้
                นักข่าวต้องหิ้วกล้องอันเบ้อเริ่มเทิ่มแบกออกไปทำข่าว ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องบึ่งรถกลับมาร้านถ่ายรูปเพื่อตัดฟิลม์ ล้าง อัด ได้รูปแล้วก็บึ่งมาส่งต้นฉบับที่กอง บ.ก กว่าจะทำข่าวเสร็จชิ้นหนึ่งค่อนข้าวจะลำบากลำบนพอสมควร
                แถมเมื่อก่อน คอมพิวเตอร์ยังไม่อุแว้ออกมาดูโลก เครื่องมือหากินก็หนีไม่พ้นเครื่องพิมพ์ดีดนี่แหละครับ ซึ่งตอนนี้เครื่องพิมพ์ดีด กำลังกลายเป็นวัตถุโบราณที่ควรเก็บสะสมไว้ให้ลูกหลานได้ดู ได้เห็น ว่าเมื่อก่อนรุ่นคุณลุง คุณป้า โตมาพร้อมกับเครื่องพวกนี้และวิทยุธานินทร์ และตู้เย็นซิงเกอร์
                ผมตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ เจอความกดดันอย่างมาก เพราะต้องใช้สมาธิสูงเวลาส่งข่าว เพราะเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องกองบ.ก จะเจอเสียง”ข้าวตอก”เครื่องพิมพ์ดีด ดังระรัวจะบรรดาเหยี่ยวข่าวโต๊ะต่างๆ ผมต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควรเวลาพิมพ์งาน เพราะมือไม้มักจะพาลกดผิด กดถูก อยู่เสมอ เนื่องจากอัตราเร่งคนละพิกัดกับบรรดารุ่นพี่ทั้งหลาย
                ผมพิมพ์ในอัตราความเร็วระดับ “เดินจงกลม”แต่บรรดาพี่ท่านแต่ละคนพิมพ์เหมือนคนขับ”เอฟวัน “ทำให้จังหวะในการพิมพ์ของผมพัง พิมพ์ผิดตลอด แถมบางคนยังพรสวรรค์สูง ไม่ต้องพิมพ์ตามตำรา ที่ต้องเอานิ้วมือทั้งหน้าวางเรียงรางบนแป้นพิมพ์ เพราะใช้ดัชนีนิ้วเดียว พิมพ์ดีด แต่ความเร็วและผลงานที่ได้อาจจะทำให้เลขาหน้าห้องของบริษัทไหน อายเอาได้ง่ายๆ
                แต่โลกใบนี้หมุนเร็วเกินไปครับ พออินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้คนบนโลกมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนบนโลกชนิดที่บอกได้ว่า”โลกใบนี้ จะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนดั่งเดิม”
                คนข่าว ก็ไม่ได้รับการละเว้น...เฉกเช่นกัน
                นับวันสังคมของความเป็นจริงของผู้คนบนโลก โดนลดบทบาทความสำคัญลงไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็นสังคมออนไลน์ ที่เข้ามาแทนที่ ถ้า 5 ปีก่อน มีคนมาบอกว่าเชื่อมั้ยว่าคนไทยต่อไปอีกไม่กี่ปีจะหมกหมุ่นอยู่กับโลกของโชเชียล เน็ตเวิร์ค ผมคงส่ายหัวบอกว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าเป็นฝรั่งมังค่าอาจจะเป็นไปได้ง่าย แต่คนไทยคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น
                สุดท้ายก็หน้าแหกตามระเบียบ เพราะลืมจุดเด่นของคนไทยที่คนทั้งโลกต่างกลัวเกรงคือ
คนไทยเป็นคนชอบบริโภคและเป็นนักซื้อตัวยง  เราเป็นประเทศเล็กๆ แต่ชื่อเสียงเรื่องช๊อปแชมป์นั้น เราได้ตำแหน่งมานานแล้ว ฝรั่ง ยุ่น จีน แขก ฯลฯ ต่างซูฮกในพฤติกรรมการซื้อ แบบราบเป็นหน้ากลองของพี่ไทยมานมนานแล้ว
ว่ากันว่า ทัวร์ไทยไปเที่ยวเมืองนอก ลงช๊อปร้านไหน ถ้ายี่ห้อถูกใจ...มีเท่าไหร่ ก้อหมด!
มาถึงตอนนี้คนไทยสร้างชื่อครั้งใหม่ ลบโปรไฟล์ “ช๊อปแชมป์”ออกไป หลังมีการเปิดสถิติว่าในบรรดาเมืองหลวงของโลกใบนี้นั้น เมืองหลวงของประเทศไหนครองแชมป์มีประชากร เฟซบุ๊ค ของคุณน้องมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ค มากที่สุด
บางกอก เมืองหลวงของสยามประเทศไทยขึ้นแท่นคว้าแชมป์อันดับหนึ่งด้วยยอดประชาชนกรเฟซบุ๊คถึง 8,600,00 คน อันดับสองก็คือประเทศที่มีคนนับถืออิสลามมากที่สุดในโลก บ้านใกล้เรือนเคียงในย่ายอาเซียนนี่เอง กรุงจาการ์ต้า ของอินโดนีเซีย วิ่งไล่ขึ้นมาเป็นอันดับสองด้วยยอด 7,400,000 คน ส่วนที่สามคือ อิสตันบลู ของตุรกี ที่มีคนเล่นเฟซบุ๊คเฉพาะในเมืองหลวง 7,000,000 คน
มหานครลอนดอน ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องคุกเข่าคารวะในลำดับที่สี่ เพราะถึงแม้จะมีคนแออัดยัดเยียด แย่งกันอยู่ แย่งกันหายใจขนาดไหน ยังมีคนเล่นเฟซบุ๊คแค่ หกล้านหนึ่งแสนคนเท่านั้น
เห็นมั้ยครับ ว่าไทยเราเจ๋งจริง ไรจริง จนคนต่างชาติบางคนอิจฉาออกมาพูดเชิงกระแนะกระแหนว่า”เรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ย...คนไทย เก่งนัก!555
วกกลับมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัว คือสังคมข่าวในยุคนี้ สมัยนี้ ที่ไม่ต้องเถียงว่าโลกออนไลน์ ในปี พ.ศ.นี่สำคัญขนาดไหน เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณๆเดินเข้าไปในร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ แล้วมองดูรอบตัว ถ้าเผอิญว่าผู้คนในร้านไม่มีใครก้มหน้า ก้มตา กดโทรศัพท์แชดบ้าง หรือเล่นเฟซบุ๊คบ้าง หรือเล่นเน็ตบ้าง ขอให้ขยี้ตา แล้วกลับเข้าไปมองอีกหน ถ้ายังเจอผลลัพท์เดิมๆให้อุปมาได้ว่า เป็นร้านของผู้สูงวัย และไม่มี Wi-Fi ให้ใช้...
ดังนั้นเมื่อโลกอนาคตบังคับให้ผู้คนต้องออนไลน์ ดังนั้นนักข่าวทั้งหลายก็ต้องแปลงกายมาเป็น”นักข่าวออนไลน์”ให้เข้ากับยุคสมัย
คุณสุทธิชัย หยุ่น “เจ้าพ่อเนชั่น” ซึ่งบรรดาน้องๆยกนิ้วให้เป็นปรมาจารย์ของคนข่าว คุณสุทธิชัย ด้วยความที่เป็นคนที่โลกกว้าง คุณสุทธิชัย มองเห็นว่าอนาคตของนักข่าวเมืองไทยจะต้องเดินไปอย่างไร หลายปีที่ผ่านมา หลายสำนักข่าวยังคงไม่ตื่นตัวต่อสภาวะโลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คุณสุทธิชัย ได้เรื่มเปลี่ยนพฤติกรรมนักข่าวของสำนักข่าวของตนเพื่อรับมือกับโลกของข่าวสารในอนาคต เพราะยิ่งเปลี่ยนช้า นั่นย่อมหมายถึงล้าหลังไปทุกนาที
ผมเองติดตามวิสัยทัศน์ของสุทธิชัย หยุ่นมาตลอด แถมแอบเอาเป็นต้นแบบในการทำข่าว พี่ๆน้องๆนักข่าวหลายคนที่กำลังเป็นนักข่าวออนไลน์ อาจจะยังสับสนและไม่เข้าใจบทบาทของคำว่า”นักข่าวออนไลน์”ที่จะต้องรับมือกับอะไรบ้างในอนาคต ผมขอหยิบบทความของคุณสุทธิชัย ที่เขียนในบล็อกเอามาเผยแพร่อีกรอบ เพื่ออย่างน้อยอาจจะสร้างมุมมองสำหรับโลกออนไลน์....






คุณสุทธิชัย หยุ่นเขียนเล่าไว้ในบทความว่า
“ห้องข่าวดิจิตัลคือศูนย์ปฏิบัติการที่คนทุกตำแหน่งทุกหน้าที่จะต้องปรับตัว,ปรับความคิด, ปรับทัศนคติต่อการทำงานข่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ใช่เพียงบอกว่าเห็นด้วยกับการต้องปรับเปลี่ยน, แต่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก็ยังใช้กระบวนการคิดและทำงานเหมือนเดิม
อย่างที่มีคำกล่าวในหลายวงการว่า "ยิ่งเปลี่ยน,ยิ่งเหมือนเดิม"
             แต่สัจธรรมวันนี้สำหรับคนข่าวก็คือว่าหากเขาไม่เปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเป็นไปของการรับรู้ข่าวสารในสังคม เขาก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่มีความปรานีสำหรับคนที่ปฏิเสธความเป็นจริงของวันนี้
            เข้าสูตร Adapt or Die
            หรือ Change...or be changed

นั่นแปลว่าหากคุณไม่เปลี่ยน, คุณก็จะถูกเปลี่ยนอยู่ดี
เริ่มจากกระบวนการทำงานของนักข่าวในภาคสนามซึ่งจะต้องใช้ความเป็นดิจิตัล และ social media รวมถึงความ
            สามารถในการใช้ "ปัญญาแห่งฝูงชน" (wisdom of the crowd) ในการตรวจสอบ, แสวงหา, วิเคราะห์, ระดมความคิด, แจกแจงและแจกจ่ายข่าวสารและข้อมูลอย่างคล่องแคล่วทึ่จังหวะการทำงานตลอดทั้งวัน
 ถ้าคุณเป็นนักข่าวสายทั่วไป, คุณใช้ทวิตเตอร์ในการรายงาน breaking news ณ นาทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
หากคุณอยู่สายข่าวทำเนียบรัฐบาลหรือสภาฯ คุณต้อง live-tweet การประชุมที่มีความสำคัญ และเพื่อรวบรวมความ
          เคลื่อนไหวของข่าวเดียวกันให้เห็นภาพรวม คุณก็จะส่งข้อความที่ทวีตหลาย ๆ ข้อความไปที่ blog ของคุณเพื่อให้เห็น ภาพรวมและเบื้องหลังของข่าวที่สามารถตีความให้สอดคล้องกับความต้องการของคนอ่านได้
                        หากคุณใช้ Storify เป็น คุณก็สามารถรวบรวมข้อความทั้งของคุณและคนอื่น ๆ ที่ทวีตหรือที่เขียนลงเฟซบุ๊คและคลิบที่ส่งขึ้น YouTube ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเพื่อการเรียบเรียงและรวบรวมให้เห็นการไหลเทของเหตุการณ์หรือความเห็นใน แต่ละเรื่องนั้น ๆ อย่างเป็นระเบียบและตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำได้อย่างต่อเนื่อง
                       ทุกวันนี้ คนข่าวที่คล่องแคล่วจรู้จักวิธีใช้ Twitter, Facebook, Google+ และ YouTube ให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการทำข่าวและสร้างชุมชมข่าวของตน
                      ไม่ว่าคุณจะอยู่สายข่าวไหน การทำงานของคุณจะผสมผสานวิธีการทำงานแบบดั้งเดิมแต่ทรงประสิทธิภาพ นั่นคือการเช็ค
  ข่าวด้วยโทรศัพท์, ด้วยการนัดพบแหล่งข่าว และตรวจสอบข่าวดิจิตัลผ่านการเฝ้าติดตาม #hashtags หรือ feeds ในทวิตเตอร์และหน้าของเฟซบุ๊ค อีกทั้งใช้ Searches ของ social media อย่างเป็นระบบ
              คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้ TweetDeck หรือ HootSuite หรือ Twitter Lists ในการเฝ้าระวังแหล่งข่าวสำคัญ ๆ รวมไปถึงการค้นหาและ hashtags ของคนอื่น ๆ ที่เกาะติดเรื่องราวที่อยู่ในสายข่าวของคุณอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
               ในฐานะนักข่าวดิจิตัลในภาคสนาม คุณทวีตข่าวที่เกิดขึ้น และส่งข้อความเบื้องหลังข่าวไปถึงบรรณาธิการข่าวของคุณ
                  ทันทีที่คุณตรวจสอบความแม่นยำอย่างรวดเร็วและฉับพลัน
อย่าให้ "ความเร็ว" มาทำลาย "ความแม่นยำ" หรือ "ความน่าเชื่อถือ" เป็นอันขาด
ดั่งคำขวัญที่ผมคิดว่าควรจะต้องเขียนตัวโต ๆ ติดไว้ข้างฝาของห้องข่าวทุกห้อง: Get it first. But first, get it right.
         ในกระบวนการทำงานข่าวประจำวันนั้น นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักใช้ crowdsourcing อย่างชาญฉลาด..นั่นแปลว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปที่เข้ามาอยู่ใน social media เช่นหากเป็นข่าวใหญ่หรือที่มีความสำคัญต่อชุมชน คุณก็ควรจะเข้าไป  live chat กับเพื่อนหรือผู้ตามคุณในเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม, ความเห็นแย้ง, หรือมุมมองที่คุณมองข้าม
                   บ่อยครั้ง, คนที่อยู่ในแวดวงเครือข่ายสังคมจะสนทนากันในหัวข้อที่กำลังเป็นข่าวร้อนอยู่แล้ว คนข่าวจึงควรจะเข้าไปร่วมสนทนา หรือสอดแทรกข้อมูลและเบื้องหลังข่าวที่ตนได้มาจากการเช็คข่าวเพื่อให้การแลกเปลี่ยนใน social media เข้าประเด็นของเนื้อหาที่คุณกำลังเกาะติดอยู่ หรือเรียนรู้มุมมองใหม่ที่คุณคาดไม่ถึง
            เพราะ "ปัญญาแห่งฝูงชน" นั้นมีอยู่จริงและบ่อยครั้งจะทำให้ปัญญาของคนทำข่าวได้รับการเสริมส่งให้กว้างขวางและลุ่มลึกขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
            นักข่าวรุ่นใหม่จะต้องมีความคึกคักในการแสวงหาและใช้ "ฐานข้อมูล" หรือ databases เพื่อการนำเสนอลักษณะ interactive และให้การเสนอข้อมูลมีทั้งภาพ, กราฟฟิค, วีดีโออย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
          นักข่าวดิจิตัลต้องรู้จักการใช้ #hashtag ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อของเรื่องราวที่คุณติดตามอยู่ หรือชื่อของชุมชนที่คุณรับใช้
             ด้านข่าวสาร หรือสองอย่างผสมกันเพื่อความสะดวกในการติดตามข่าวและความเห็นในหัวข้อนั้น ๆ ทั้งจากคุณเองและผู้ที่ติดตามการทำงานของคุณในทุกรูปแบบ
             เพราะเมื่อคุณใช้ #hashtag ใดในการทำข่าวหัวข้อใด, ชุมชนทั้งหมดที่เกาะติดเรื่องราวของคุณอยู่ก็สามารถจะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกันเองหรือกับคุณอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
            อย่าลืมว่านักข่าวดิจิตัลต้องเตือนตัวเองเสมอว่าจะต้องคิดวิธีนำเสนอข่าวในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, แผนที่, ภาพ, ข้อความ, เอกสารต้นทาง, ลิงก์ไปยังแหล่งข่าวและข้อมูลอื่น ๆ
          การสร้าง "อัตตลักษณ์" ของตัวเองควบคู่ไปกับ "brand" ขององค์กรข่าวของตนคือเส้นทางแห่งการสร้างความเป็น "คนข่าวมืออาชีพยุคดิจิตัล" อย่างถาวรและแท้จริง
คนข่าวภาคสนามที่เรียกตัวเองว่า "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" แต่ดั้งเดิม ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และต้องถือว่าตนเป็นเป็น "คนข่าวภาพ" หรือ visual journalist ซึ่งย่อมหมายความว่าจะรายงานข่าวและภาพ, วีดีโอและทุกอย่างที่เสนอผ่านสายตาของผู้บริโภาคข่าวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
            ในการปฏิบัติหน้าที่แบบ "Digital First" นั้น คนข่าวภาพจะวางตัวให้ทำกิจกรรมอย่างนี้
              ๑. ก่อนอื่นใช้มือถือรุ่นใหม่ถ่ายภาพเหตุการณ์หรือสิ่งที่พบเห็นทันทีและส่งทวีตหรือขึ้นบล็อกเป็น breaking news ทันที
๒. พร้อมกันนั้น เขาหรือเธอก็จะถ่ายวีดีโอ ไม่ว่าจะใช้กล้องวีดีโอใน smartphone หรือด้วยกล้องที่ใช้ในการรายงานข่าวทีวี
๓. คนข่าวภาพต้องคิดทันทีว่าจะถ่ายภาพหลาย ๆ มุมเพื่อสามารถจะทำเป็น slideshow ในภายหลัง และสามารถจะเลือกเอารูปที่โดดเด่นที่สุดของเหตุการณ์นั้น ๆ สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ในวันต่อไป
๔. เขาต้องไม่ลืมที่จะอัดเสียงรอบด้าน หรือเสียงให้สัมภาษณ์ของแหล่งข่าวในเหตุการณ์นั้นด้วยอุปกรณ์อัดเสียงที่ทุกวันนี้
             มีมากมายและ ติดมากับกล้องในทุกรูปแบบ เพื่อจะได้ใช้ประกอบ slideshow ที่จะทำขึ้นเว็บไซท์หรือบล็อกของตัวเอง
๕. หากมีโอกาส เขาจะถ่ายรูปหน้าของคนเป็นข่าว (mugshots) เพื่อใช้ประกอบบทความหรือสารคดีหรือใช้ในอนาคตเมื่อแหล่งข่าวนั้น ๆ กลายเป็นข่าวอีกในวันข้างหน้า
๖. หากเป็นกรณีภัยพิบัติ เขาจะถ่ายรูปของตึกรามบ้านช่องหรือฉากเหตุการณ์เพื่อจะได้นำไปใช้งานอีกหลายด้านที่นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ หากมีความจำเป็นต้องใช้ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นวัตถุดิบในวันข้างหน้า
๗. คนข่าวภาพต้องไม่ลืมสอบถามและจดชื่อเสียงเรียงนามและตำแหน่งแห่งหนให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะข้อมูลเช่นนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อต้องนำเสนอพร้อมกับผลงานภาพนิ่ง, วีดีโอ, กราฟฟิกที่จะมีขึ้นในสื่อต่าง ๆ
๘. คนข่าวภาพภาคสนามจะปรึกษากับหัวหน้าโต๊ะหรือบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดว่าจะตัดต่อวีดีโอหรือเลือกภาพนิ่งใดในการนำเสนอ ไม่ว่าจะเอาขึ้นเว็บไซท์, บล็อก, เฟซบุ๊ค, ยูทูปหรือเพื่อตีพิมพ์ในสื่อของตนในเวลาต่อมา
              จะเห็นว่าในโลกสื่อยุคดิจิตัลวันนี้ คนข่าวที่คิดว่าตัวเองเป็นแค่ "ช่างภาพ" หรือ "ช่างกล้อง" และมีหน้าที่ถ่ายภาพหรือวีดีโออย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการรายงานข่าวหรือบรรยากาศสีสันบรรยากาศ ณ ที่เกิดเหตุจะกลายเป็นคนรุ่นเก่าและจะถูกคนข่าวรุ่นใหม่ที่ฝึกปรือมาเป็น digital journalists for all platforms แซงหน้าจนหาบทบาทของตัวเองไม่เจอ
การปรับบทบาทครั้งใหญ่สำหรับห้องข่าวหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ "หัวหน้าโต๊ะ" หรือ "บรรณาธิการโต๊ะ" จะต้องเข้าใจบริบทใหม่ของ "อนาคตแห่งข่าว"
          ไม่ใช่แค่คนข่าวที่ต้องปรับตัวให้เข้ายุคดิจิตัล, ตำรวจไทยก็เริ่มเข้ามาใช้ social media ในการสร้าง "ชุมชนข่าว" ที่จะสอดประสานกับความต้องการของคนในเมืองหลวงที่ต้องการร่วมในการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมอย่างคึกคักแน่นอน
       สน. หัวหมากเป็นหน่วยงานตำรวจแห่งแรก ๆ ที่เปิด Facebook เพื่อให้เป็นแหล่งรายงาน, แจ้ง, และรับคำร้องเรียนจากประชาชนเพื่อช่วยในการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างฉับพลันทันการ อีกทั้งยังเป็นแหล่งข่าวสารที่ชุมชนข่าวสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างทันท่วงทีและกว้างไกล
        
......................................................................................................................................................

                ปลายปีที่ผ่านมา เชียงใหม่นิวส์ ได้มีการขยับตัวอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ผ.อ สราวุธ แซ่เตี๋ยว สั่งให้กองบรรณาธิการตั้ง”นักข่าวออนไลน์”ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อเป็นนักรบชุดแรกที่กระโจนเข้าไปในสังคมของข่าวออนไลน์ งานนี้มีการติดอาวุธ ด้วยสมาร์ทโฟนจากค่ายดัง เพื่อแปลงร่างให้นักข่าวทุกคน เป็น”โมโจ” ที่ย่อมาจาก Mojo (mobile journalist)

                ณ.บัดนาว หลังจากผ่านมาหลายเดือน ทีมงาน”ข่าวออนไลน์”ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้องๆไฟแรงทั้งหลาย กำลังเป็นกำลังหลักที่จะปรับเปลี่ยนเชียงใหม่นิวส์ให้เข้าสู่สนามข่าวแบบออนไลน์ เพื่อนำข้อมูล ข่าวสารต่างๆมานำเสนอให้ผู้คนทั่วไป ทั้งที่เป็นลูกต้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน หรือคนที่อ่านข่าวผ่านเว๊บไซต์ รวมถึงตามข่าวสารแบบฉับไวผ่านทางทวิตเตอร์ Live_chiangmai ซึ่งมีการรายงานข่าวสารแบบฉับไวตลอด 24 ชั่วโมง

                อนาคตของข่าวสารในโลกออนไลน์ จะปรับโฉมไปอีกเท่าใด มั่นใจว่าไม่มีใครทำนายได้ เพราะโลกของข่าวสารไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้นนวัตกรรมใหม่ๆก็ต้องผุดขึ้นมาอวดโฉมตามมาเรื่อย ๆเฉกเช่นกัน

               อนาคตของ”นักข่าวออนไลน์” จึงน่าติดตาม ด้วยความตื่นตา ตื่นใจ เป็นอย่างยิ่ง...

                                                                                                                                                                                        กุนซือ

 

 



วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แพงหรือไม่แพง 8-5-55



แพงหรือไม่แพง

                

                 ชั่วโมงนี้ประเด็นเรื่องไหนก็ไม่เป็นที่น่าสนใจเรื่องประเด็น”ข้าวยาก หมากแพง”  เพราะโดนลูกหลงกันถ้วนหน้า ยิ่งฝ่ายค้านออกมาโจมตีเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้สโลแกนล้อเลียนว่า”แพงทั้งแผ่นดิน”เป็นตัวนำ
                  ทำเอาฝ่ายรัฐบาลถึงกับจุก พูดไม่ออก 
               เนื่องจากตอนหาเสียงก่อนเลือกตั้ง ดันป่าวประกาศว่า เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ จะ”กระชากค่าครองชีพลงมา” แต่ทำไป ทำมา รูปการณ์จะกลายเป็นว่า จะถีบค่าครองชีพให้พุ่งติดฟ้าไปโน่น
                ยิ่งท่านนายกฯ มาบอกว่าเรื่องของแพงนั้นเป็นแค่ "ความรู้สึกของประชาชนเท่านั้น ความจริงของไม่ได้แพงอย่างที่คิด"
                ก็เกิดกระแสสวนกลับว่า คนไทยทั้งประเทศไม่ได้คิดไปเองหรอก ท่านนายกฯนั่นแหละครับที่คิดไปเอง เนื่องจากชาวบ้านเขาจ่ายตลาดทุกวัน รับรู้ได้ว่าของมันแพงขึ้นมากน้อยแค่ไหน
                เดือดร้อนรัฐบาล  เลยต้องส่งท่านรัฐมนตรีทั้งหลายออกมาท่องตลาด เพื่อดูสภาพความเป็นจริง สุดท้ายก็บอกว่า สำรวจมาแล้ว..ไม่แพงอย่างที่คิด
                แหม..ท่านรัฐมนตรีครับ ก่อนที่ท่านจะเข้าตลาด สำรวจ ตรวจสอบนะ ท่านก็ป่าวประกาศไปทั่วว่าพรุ่งนี้ ฉันจะไปตลาดโน้น ตลาดนี้ 
               ทัพหน้าเขาเข้าไปจัดตั้ง สร้างภาพให้เรียบร้อยแล้วละครับ พอท่านไปถึงข้าวของก็เหมือนโดนอาคม ราคาลดลงวูบวาบเลยครับ
                จนบรรรดานักข่าวเขาบอกว่า อยากซื้อของถูกให้ไปจ่ายตลาดกับคณะรัฐมนตรี รับรองว่าของถูกทันตาเห็น แต่พอท่านรัฐมนตรีขึ้นรถกลับ ของมันกลับขึ้นราคามาที่เดิมเฉยเลยครับ
 อะเมซซิ่ง ไทยแลนด์ จริงๆ
ถ้ารัฐบาลยังเอาข้อมูลที่ชงโดนข้าราชการที่หวังจะเอาใจอย่างเดียว ไม่สนว่าความจริงเป็นเช่นไร 
ผมว่า"ความเสื่อม"จะวิ่งมาเยือนเร็วๆนี้ เนื่องจากรัฐบาลถึงแม้จะเข้มแข็งเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ถ้าจะมีอันเป็นไป ก็ต้องมีเรื่องคอร์รัปชั่น กับเรื่องแก้ไขปัญหาข้าวยาก หมากแพง ไม่ได้นี่แหละครับ
ท่านนายกฯความจริงน่าจะโฉบแว๊ปๆ ไปดูความจริงตามตลาดร้านค้าต่างๆ โดยไม่ต้องมีหมายกำหนดการบ้าง เอาแบบโชว์เดี่ยว บาย ยิ่งลักษณ์ เลยครับ
  อาจจะได้รับข้อมูลความจริง ที่สามารถนำมาปรับใช้ และแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ ถ้ามัวแต่ท่องว่า เรื่องนี้ คนไทยคิดไปเอง แถมท่านโฆษกของรัฐบาลยังออกมาสำทับว่าเป็น“อุปทานหมู่”  
โห...มันจะอุปทานอะไรกัน ทั่วประเทศขนาดนั้น
นี่แหละครับที่เค้าว่า”บางเรื่องไม่พูดบ้าง...ก็ได้ ไม่มีใครว่า”
ผมยังจำได้ตอนที่ท่านโฆษก รัฐบาลท่านออนแอร์บอกว่า ความจริงแล้วของไม่แพงหรอก แต่เป็นปรากฏการณ์”อุปทานหมู่”นั้น 
ผมเองยังคิดอยู่ในใจว่า”เอ๊ะ ความจริงมันเป็นอย่างที่ท่านเด็จพี่ พร้อมพงศ์ ว่าไว้หรือเปล่า ....“
คลำดูกระเป๋าตังค์ มันก็แฟ่บลง แฟ่บลง สงสัยกระเป๋าผมมันติดเชื้ออุปทานหมู่มาด้วยแน่ๆ
แต่เมื่อนั่งวิเคราะห์อย่างถ่องแท้ ผมก็บรรลุถึงความจริงว่า ที่รัฐบาลท่านบอกว่าคนไทยทั้งหลายคิดไปเองว่าของมันแพง นะ..รัฐบาลเขาพูดถูกแล้ว
ความจริงของมันแพงมันตั้งหลายเดือนแล้ว แหม...ดันมารู้สึกตอนนี้ สมน้ำหน้ากันทั่วไทย
                                                                                                                กุนซือ
                                                                                P_kiti@hotmail.com