วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองไทยกับอับดับโลก

 

             วันนี้ไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย ที่โผล่ไปติดอันดับโลกในเรื่องต่างๆ เลยหยิบมาเล่าขานให้ฟัง  มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี คละเคล้ากันสมกับฉายา"สยามเมืองยิ้ม"ของเรา
               ปี พ.ศ 2545  อาหารไทยเป็นอาหารยอดนิยม ติด 1 ใน 5 ของโลก ร่วมกับ อาหารฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน ทั่วโลกมีร้านอาหารไทย 6000 แห่ง อยู่ในสหรัฐ 3000 แห่ง มีลูกค้าเข้ามารับประทานเฉลี่ยนวันละ 3 ล้านคน
             เชื่อหรือไม่ครับว่า  พ.ศ 2546 คนไทยมีสถิติดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก   ไทยเป็นผู้ส่งออกใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ของโลกในการส่งออกรถยนต์ไปยังสิงคโปร์    นอกจากนั้นไทยติดอันดับละเมิดลิขสิทธิ์ 1 ใน 10 ของโลก มูลค่าตลาดสูงกว่า 1,600 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากจีนและไต้หวัน
                 ในปี พ.ศ.2547 ไทยเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุด อันดับ 32 ของโลก จากการจัดอันดับของธนานคารโลก ส่วนอันดับ 1-10 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี จีน สเปน แคนาดา และอินเดีย
                   พ.ศ. 2548 ไทย ติดอันดับประเทศน่าลงทุนติดอันดับที่ 20 ของโลก จากทั้งหมด 155 อันดับ ถือ เป็นประเทศที่มีผลงานที่ดีที่สุดประเทศหนึ่ง แซงหน้ามาเลเซียและเกาหลี ใต้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21 และไต้หวันที่อันดับ 35
                    ปี พ.ศ. 2549 ไทยฉาวอีกครั้งเมื่อติดอันดับอันดับ 5 ของโลก ในการแพร่เว็บลามก   แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อกรุงเทพ มหานครได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมามากที่สุดใน ทวีปเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก ฟลอเรนซ์ และโรม

                   ในขณะที่ เชียงใหม่ อยู่อันดับที่ 5    และในปีเดียวกันนั้นสนามบินของไทยมีผู้ใช้บริการมากที่สุด อันดับ 11 ของโลก (ยังไม่นับตอนสุวรรณภูมิเปิด)
                     ส่วนในเรื่องของความสุขนั้น ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสุขที่ 44 ของโลก  ใน เอเชียนั้น ฟิลิปปินส์อันดับที่ 23 อินโดนีเซียอันดับที่ 31 จีนอันดับ ที่ 32 ไทยอันดับที่ 44 มาเลเซียอันดับที่ 66 อินเดียอันดับที่ 64 ฮ่องกง อันดับที่ 89
                    ปี พ.ศ. 2550 วัยรุ่นไทยติดอันดับ 1 ของโลก ในการเล่นเว็บแคมฟร็อก โดยห้องแชตสุดฮิต อันดับ 1-60 เป็นห้องของคนไทย 55 ห้อง
                    มาถึงเรื่องหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆบ้าง  ปตท. เป็น บริษัทไทยแห่งเดียวที่ติดอันดับในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 อันดับแรกของ โลก จากผลการสำรวจประจำปี 2007 เป็นอันดับที่ 41 ในเอเชีย และเฉพาะในภาค ธุรกิจการกลั่นปิโตรเลียม ปตท.อยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก
                   ผู้บริหารระดับสูงของไทย ติดอันดับมีรายได้เฉลี่ยสูงสุดอันที่ 8 ของโลก  ในรายชื่ออันดับอำนาจการซื้อผู้บริหาร อันดับ1.ซาอุดิอาระเบีย   อันดับ2.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   อันดับ3.ฮ่องกง   อันดับ4.รัสเซีย   อันดับ5.ตุรกี   อันดับ6.เม็กซิโก   อันดับ7.ยูเครน   อันดับ8.ไทย   อันดับ9.สิงคโปร์
 ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก มีจำนวนประมาณ 63 ล้านคน
                 ปีนี้เองที่เด็กไทยก็ไปสร้างชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกในการแข่งขัน ชีววิทยาโอลิมปิก 2550 เด็กไทยคว้ารางวัล คะแนนสูงสุด อันดับ 1 ของโลก
                  ไทยโดนสถิติติดระดับโลกอีกครั้งเมื่อตัวเลขประกาศออกมา  ประเทศ ไทยเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของโลก สามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 27 ล้าน ตัน จัดเป็นอันดับ 6 ของโลก มีการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของ โลก มูลค่า 1 แสนล้านบาท

               แบ่งเป็นข้าวสารร้อยละ 97 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อย ละ 7 แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ไม่มีอำนาจใน การกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเลย
                สิงห์แมงกะไซต์เมืองไทยก็อันดับโลกกับเขาด้วยเหมือนกัน เมื่อติดโผประเทศที่ใช้จักรยานยนต์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 3 คน ต่อ 1 คัน
                 ส่วนที่น่าชื่นใจส่งท้ายของคนภาคเหนือคือ  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด อันดับ 2 ของโลก

                              กุนซือ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โปรแกรมใหม่ของท่านผู้นำ แห่งประเทศสารขัณฑ์



โปรแกรมตอบคำถามของท่านผู้นำ...

- ถามเรื่องการบริหาร ตอบว่า ทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม 
-ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย
- ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด
- ถามเรื่องรายละเอียด ตอบว่า ทุกอย่างต้องเป็นหน้าที่สภา
-ถามเรื่องสภา ตอบว่า ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับนายกทักษิณ
-ถามเรื่องทักษิณ ตอบว่า ทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
-ถามเรื่องรัฐบาล ตอบว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน
- ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข
-ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้
-ถามว่าทำไมบอกไม่ได้ ตอบว่า ทุกอย่างเป็นหน้าที่สภา
-ถามย้ำไปย้ำมา ตอบว่า ขอตัวก่อนนะคะ (จะแฮงค์แล้วค๊า)

หมายเหตุ...กรณีที่คำถามยากเกินไปมันจะ auto program นำคำตอบ 1-11 มารวมกัน โดยไม่สนใจว่าคำถามจะเป็นยังไง เช่น
"... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูในรายละเอียด และการปรึกษาหารือในรัฐบาล ไม่ค่ะ เป็นการตัดสินใจ ของรัฐบาล ท่านนายกทักษิณไม่เกี่ยวค่ะ ทุกอย่างต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามกฎหมายและพี่น้องประชนชนที่ไว้วางใจเรา ค่ะ ..ค่ะ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ค่ะ..ยังคงบอกอะไรในรายละเอียดไม่ได้ ต้องรอหารือในสภา ..ค่ะ ๆ ขอตัวก่อนนะคะ ”

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาญาสิทธิ์ 24/3/2552


               ช่วงนี้ผมขึ้นศาลบ่อยครับ  เพราะโดนฟ้องร้องเรื่องคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ทั้งหลายที่โดนฟ้องร้องอยู่ประจำอันเนื่องมาจากข่าวสารที่นำเสนอกับทางหน้าหนังสือพิมพ์ 
                ขึ้นศาลบ่อยๆ เข้าเลยเกิดอาการอินครับ   เพราะไปศาลแต่ละครั้งต้องเสียเวลาประมาณครึ่งค่อนวัน เลยได้เรียนรู้ระบบ กากรทำงานของกลไกยุติธรรมของบ้านเรา ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสทางหนึ่ง
          ซึมซาบกับความขลังของศาลไทย
                ถ้าพูดถึงผู้พิพากษาในโลกนี้ รับรองว่าเบอร์1 ที่คนไทยได้ยินก็ร้องฮ่อคือ  ท่านเปาปุ้นจิ้น แห่งแดนมังกร เพราะชื่องเสียงกระฉ่อน โด่งดังมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ตอนนี้ย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย ยังมีหนังชุดของท่านเปาฯฉายให้คนไทยดูอยู่ทางช่อง 3 
                อาจจะเป็นภาพยนตร์จีนชุดที่ทำซ้ำและนำมาฉาย ทำลายสถิติ "ดาวพระศุกร์"ของเมืองไทยเรา
                ย้อนมองดูประวัติของท่าน เปาบุ้นจิ้น" เป็นข้าราชการชาวจีน มีชีวิตอยู่จริงในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเหรินจงแห่งราชวงศ์ซ่ง  ท่านเปาฯมีชื่อเสียงมากและเป็นที่สรรเสริญในด้านความซื่อสัตย์และความยุติธรรม กระทั่งต่อมาภายหลังได้รับยกย่องในเอเชียว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม
                เชื่อมั้ยครับว่า  ผู้คนคิดว่าว่าเปาบุ้นจิ้นเป็นตุลาการ แต่ความจริงแล้วงานตุลาการเป็นหน้าที่หนึ่งในครั้งที่รั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด
                ในสมัยนั้น เปาบุ้นจิ้นนั้นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหลายประเภท โดยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหกเดือนก่อนถึงแก่อสัญกรรม
                เปาบุ้นจิ้นนั้นเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติราชการ ความกตัญญูกตเวที และการปฏิเสธความอยุติธรรมและการทุจริตในหน้าที่ราชการชนิดหัวชนฝา ชื่อเสียงดังกล่าวทำให้เปาบุ้นจิ้นกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรม และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วกระทั่งต่อมาได้รับความนับถือเลื่อมใสถึงขนาดยกย่องเสมอเทพเจ้า
                ถ้าเทียบกับยุคสมัยของคนไทยแล้ว เปาบุ้นจิ้นมีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนสมัยสุโขทัย ส่วนชื่อ "เปาบุ้นจิ้น" ในไทยเป็นคำอ่านสำเนียงแต้จิ๋ว  เพราะสมัยก่อนชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาเมืองไทยล้วนแต่เป็นคนแต้จิ๋ว  แต่ถ้าอ่านเป็นสำเนียงจีนกลางว่า "เปาอุ๋นเจิ่ง" หรือ "เปาเหวินเจิ่น "นอกจากนี้ ในไทยเอง คำ "เปาบุ้นจิ้น" หรือ "ท่านเปา" ยังมีความหมายว่า ตุลาการ ศาล หรือผู้พิพากษาอีกด้วย และบางทีก็เจาะจงว่าหมายถึงตุลาการที่เที่ยงธรรมด้วย
                ประโยคหนึ่งที่โด่งดังมาพร้อมกับ เปาปุ้นจิ้น คือกระบี่อาญาสิทธิ์  ซึ่งหมายถึง กระบี่ของสมเด็จพระจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีแห่งจีนในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ เป็นสัญลักษณ์ของอาญาสิทธิ์ คือ สิทธิที่จะลงอาญาแก่ผู้ใดก็ได้ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งบำเหน็จความชอบอีกด้วย
                ในอุปรากรจีนหรือที่เราๆท่านๆเรียกกันติดปากว่า งิ้วจีน  ส่วนใหญ่แล้วกระบี่อาญาสิทธิ์มักปรากฏว่าพระราชทานให้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดินแทนพระองค์ รัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง หรือตุลาการ ผู้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ย่อมมี "อาญาสิทธิ์" ดังกล่าวเสมอสมเด็จพระจักรพรรดิ สามารถประหารชีวิตผู้กระทำผิดได้ทันทีแล้วจึงค่อยกราบบังคมทูลถวายรายงาน
                ถือเป็นกระบี่ ที่ทรง"อานุภาพ"มากที่สุดในแผ่นดิน
                และแน่นอนครับว่าที่รู้จักกันในไทยมากที่สุดเห็นจะเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ของเปาบุ้นจิ้น  ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิพระราชทานให้เปาบุ้นจิ้นสามารถประหารผู้ใดก็ได้นับแต่สามัญชนจนถึงเจ้าโดยไม่ต้องได้รับพระราชานุญาตก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่หลังจากประหารแล้วให้จัดทำรายงานกราบบังคมทูลทราบพระกรุณาด้วย
                 เป็นที่มาของสำนวนจีนว่า "ฆ่าก่อน รายงานทีหลัง"
                หลายคนตั้งคำถามว่า ท่านเปาปุ้นจิ้น ใช้พาหนะอะไรในการเดินทาง  คำตอบสุดท้ายออกมาแบบน่าเขกหัวว่า "ใช้รถ แดวู จากแดนกิมจิ เกาหลี"
                โดยหยิบเอาหนังชุดของท่านเปาปุ้นจิ้นทางทีวี ที่ก่อนนั่งบัลลังค์พิพากษาคดี จะต้องมีเสียงร้องโหมโรงว่า"แด วูววววววววว"
                ดังนั้นคาดว่าขุนนาง หรือผู้บริหารงานแผ่นดินที่ฉ้อราษฎร บังหลวง ที่คนจีนเรียกว่า"กังฉิน" ทั้งหลาย  ต่างพากันขยาดเสียงรถแด วู ของท่านเปาฯกันถ้วนหน้า
                เพราะนั่งบัลลังค์เมื่อไหร่ บรรดา"กังฉิน"ทั้งหลาย ต่างต้องตายตกไป หรือไม่ก็ย้ายสำมะโนไปอยู่ในคุก ตามหลักสูตร"ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด" ของ ตุลาการ
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                กุนซือ

คอคอตกระ 2/3/2548


            วานก่อนคลิกเข้าไปท่องอินเตอรเน็ต  คลิกเข้าไปอ่านนู๊นอ่านนี่ เหลือบไปเจอกระทู้หนึ่ง ที่สะดุดความคิดทันที คนตั้งกระทู้อยากทราบความคิดเห็นว่า คิดอย่างไรกับโครงการคอคอตกระ  ซึ่งเป็นโครงการที่จะขุดคลองบริเวรด้ามขวานทองของไทยให้เรือสมุทรที่ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแล่นผ่าน
          เวลาคุณๆเอาแผนที่โลกออกมากาง จะเห็นได้เด่นชัดว่าในเขตภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรามักจะเรยกในปัจจุบันว่าอาเซียนนั้น  เมืองไทยอยู่ในพิกัด  อยู่ในทำเลที่ได้เปรียบประเทศอื่นๆ
          พูดถึงการเดินทางทางอากาศ เมืองไทยนี่แหละที่นักวิเคราะห์ปีกธงว่าเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบินของอาเซียน นกเหล็กแต่ละลำจะไปต่อที่ไหน ก็มักจะแวะลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมือง  เครื่องเทคออฟจากอังกฤษบินมาเรื่อยๆผ่านตะวันออกกลางผ่านอินเดีย จะไปฮ่องกง ก็ต้องแลนดิ้ง ลงจอดที่เมืองไทย เติมน้ำมัน ให้ผู้โดยสารได้เดินออกมายืดเส้นยืดสายประมาณชั่วโมง แล้วค่อยบินต่อ  หรือบินจากเมืองจีนจะไปออสเตรเลีย แหม..จะมีที่ไหนทนาลงจอดเปลี่ยนเครื่องเท่ากับเมืองไทยอีก
          เห็นอย่างนี้นึกออกมั้ยครับว่า ประเทศเรามีทำเลทองอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาแทนที่จะฉกฉวยเอาความได้เปรียบนี้ไว้ใช้ กลับต้องถูกทำลายไปกับนักการเมือง ที่มีแต่พูดแต่ทำไม่เป็น ผลงานแต่อย่างที่ต้องใช้หัวคิด กลับทำไม่ได้ ทำได้แค่สร้างถนน ขุดท่อ คิดค่าต๋ง ไปงานศพ เข้างานบวช ล้วนแล้วแต่สะกดด้วยคำว่าผลประโยชน์กันทั้งนั้น เมืองไทยก็เลยต้องเดินแต่ครั้งก้าวย่ำอยู่กับที่ บางทีจะเดินถอยหลังเข้าให้ก็มี
          วกกลับมาถึงมุมมองเรื่องการตัดคอคอตกระ ในภาคใต้ จากหลายมุมมองที่มีคนตอบกระทู้นี้เห็นว่ามีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และอีกหลายคนก็ไม่สนใจบอกว่าถ้าทำแล้วเศรษฐกิจมันดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำไปเถอะ..ประมาณนั้น  
                   อีกหลายฝ่ายกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกในประเทศ เพราะพอมีคลองก็เหมือนกับประเทศไทยโดนหั่นออกเป็น 2 ส่วน  และอีกไม่น้อยบอกว่ารีบทำ เพราะถ้าอยากให้ไทยฟื้นจากพิษไข้เศรษฐกิจ โครงการคอคอตกระนี่แหละเป็นความหวังที่มีความเป็นจริงมากที่สุด


            สมมุติว่าคุณๆเป็นพ่อค้าจีน ประเทศที่มีประชากรอยู่ถึง 1,320 ล้านคน กำลังผลิตเหลือเฟือผลิตสินค้าออกมามากมายก่ายกอง ขนใส่เรือไปขายให้กับอินเดีย ประเทศที่ประชาชนแตะ 1,000 ล้านคนเมื่อไม่นานมานี้ เอาแค่ 2 ประเทศนี้ สินค้าจำนวนมหึมา ที่ถูกขนถ่ายไปมาซึ่งกันและกัน หลับตานึกออกมั้ยครับว่าเม็ดเงินมากมายขนาดไหน
          ทีนี้สินค้าจำนวนมากๆการขนถ่ายก็ต้องใช้เรือนี่แหละครับ ลองลากเส้นทางเดินเรือจากเมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองท่าเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีนไปอินเดีย เห็นเรือค่อยๆแล่นมาทางทะเลจีนใต้ มุ่งหน้าเข้าหาสิงคโปร์ เกาะเล็กกระจิ่วหลิวยิ่งกว่าเกาะภูเก็ตบ้านเรา จอดพักตรงนั้นก่อนแล่นอ้อมแหลมมลายู ตีโค้งหลายพันไมล์ทะเล ก่อนตั้งเข็มทิศขึ้นเหนือมุ่งเข้าหาอินเดีย
          ถ้าเผอิญดันมีการตัดคอคอตกระ สมมุติว่าอยู่แถวระนอง คุณเป็นกัปตัน คุณจะใช้เส้นทางไหน ถ้ากัปตันไม่โง่ ก็ต้องเดินเรือมาทะเลจีนใต้  อะแฮ้มเลี้ยวขวาเข้าอ่าวไทย ตัดทะลุเห็นทะเลอันดามัน ตั้งเข็มทิศใหม่แล่นตรงเข้าหาอินเดีย
          ย่นระยะทางได้อย่างเหลือเชื่อ ประหยัดทั้งพลังงาน แถมใช้เวลาน้อยกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง คุ้มสุดคุ้มถึงแม้จะต้องเสียเงินค่าทำเนียมในการแล่นผ่าน ให้กับประเทศไทยแต่มองอย่างไรๆก็ปฏิเสธไม่ลง  เหมือนกับคลองปานามา ที่กลายเป็นเส้นทางลัดของเรือสมุทรมาจนทุกวันนี้
          สายตาของพ่อค้าทุกคู่ก็ต้องเหลือบมาจ้องมองเมืองไทยของเรา  ใครก็คิดออกครับว่าถ้าเป็นอย่างนี้เมืองไทยจะเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในเอเซีย นักลงทุนแห่หอบเม็ดเงินเข้ามาลงทุน เพราะต้องการปักฐานการลงทุนก่อนจะสาย น่าสงสารก็แต่สิงคโปร์ ที่มนต์เสน่ห์จะหดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ 
          มีคนเคยกล่าวหาว่าสิงคโปร์กลัวโครงการนี้จับจิตจับใจ พยายามทุกหนทางเพื่อไม่ให้คอคอตกระเกิดได้ เพราะมองเห็นหายนะของประเทศตัวเอง มีการทุ่มเงินให้นักการเมืองไทยเพื่อคุมกำเนิดคอคอตกระไม่ให้เกิด จะเอาเงินเท่าไหร่ไปซื้อเสียง บอกว่าจะประเคนให้แต่พอเป็น .สแล้วอย่างลืมที่ไอสั่งไว้ อย่าให้โครงการนี้เกิดเป็นเด็ดขาด
          เราๆท่านๆก็เลยได้ยินแต่คำพูดกรอกเข้าหูว่าถ้าสร้างเสร็จภาคใต้จะถูกกลืนไปเป็นของมาเลเซีย เกิดความแตกแยก  ,ต้องใช้เงินงบประมาณหลายหมื่นล้าน ฯลฯ ถึงตอนนี้ต้องรอดูกิ๋นของรัฐบาลทักษิณว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไร  กล้าตัดสินใจบุกหรือไม่ หรือปล่อยให้โครงการนี้ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าต่อไป
                                                                   กุนซือ

หนอนหนังสือ 17/10/2548


                พึ่งกลับจากกรุงเทพมาครับ หลังจากติดสอยห้อยตามคุณพี่พงษ์ศักดิ์  ทักษิณสุข นายกสมาคมนักเรียนเก่าปรินส์รอยแยลส์ วิทยาลัย ในฐานะรุ่นน้องโรงเรียนเพื่อร่วมงานระดมทุนเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีพระราชทานนามโรงเรียนปรินส์ฯ
                ครั้งแรกพอรู้ว่าจะเดินทางเข้าบางกอก เด็กภูธรอย่างเราๆต้องมีการเตรียมตัวครับ  ประเภทคว้าเป้กระโดดขึ้นรถแบบเมื่อก่อน มาถึงตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เนื่องอายุตอนนี้ที่วัยรุ่นกำลังสับสนว่าจะเรียกว่าพี่หรือว่าอา
                แต่คนไหนเรียกอาผมมักจะไม่ค่อยสนทนาปราศรัยด้วยนัก เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่จัดอยู่ในข่ายมองโลกในแง่ร้าย
                ช่วงการเตรียมตัว วางแผนต้องเริ่มตั้งแต่ พักที่ไหน  ตกเย็นสังสรรค์ที่ใด และที่สำคัญเพื่อนคนไหนยืมตังค์ได้บ้าง  ข้อสุดท้ายนี่ขาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะถือเป็นตัวช่วยที่ทรงคุณค่ามากที่สุด
                โดนโชคหล่นดังโครม  หลังเปิดปฎิทินดูแล้วเวลาที่ไปถึงพอเหมาะพอเจาะกับงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ที่จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
 ในนามของคนที่ปฎิญานตนตั้งแต่เด็กว่า อนาคตฝันใฝ่อยากเป็นหนอนหนังสือ แต่ตอนนี้ยังทำไม่สำเร็จซักที พอโอกาสทองแบบนี้หล่นวูบมาถ้าพลาด ถือว่าไม่ให้เกียรติตัวเอง
                ในที่สุดก็พาร่างมายืนสะพายเป้อยู่หน้างานจนได้   ตอนเป็นเด็กคุณๆเคยเที่ยวงานฤดูหนาวครั้งแรกมั้ยครับ  ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างไร ความรู้สึกแบบนั้นย้ายมาเกิดกับผมตอนนี้ทันที
                เหมือนเด็กเจอของเล่นที่ถูกใจ  ผมเดินตะลุยเดินดูหนังสือเรียกชนิดว่าทุกบูธ ทุกซุ้ม อ่านดูพลิกดู ทั้งนิยาย การ์ตูน สารคดี สารพัดสารเพ ที่ยกเว้นอย่างเดียวที่ค่อยๆเดินเลี่ยงผ่านไป คือซุ้มหนังสือพระ  แฮ่ม....เข้าไม่ค่อยถึงครับ
                2 ชั่วโมงผ่านไปพร้อมกับขาที่เริ่มอ่อนล้า แต่หนทางยังยาวอีกไกล เพราะตระเวนดูได้แค่ 1 ใน 3 ของงานเท่านั้น หัวใจที่มุ่งมั่นอยากเป็นหนอนหนังสือเริ่มสั่นคลอน  เริ่มมองเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่าจุดมุ่งหมายกับร่างกายบางครั้งมันทำมุมตรงข้ามซึ่งกันและกัน
                นั่งพักเหนื่อยมองดูบรรยากาศโดยรอบ เห็นน้องๆตัวเล็กๆตั้งแต่ 10 ขวบจนถึงวัยรุ่นเดินกันเต็มงานไปหมด ก็เริ่มชื่นใจ  ใครจะว่าเด็กไทยสมัยนี้อ่านหนังสือน้อยมากจนน่าตกใจ  แต่อย่างน้อยก็มีอีกลุ่มใหญ่ๆที่ยังมีนิสัยรักการอ่านอยู่
                ผมชี้อย่างหนึ่งว่า ความจริงที่รัฐบาลไปสำรวจมา แล้วประกาศโครมๆๆๆๆว่าเด็กไปไม่สนใจอ่านหนังสือ มัวแต่ไปเล่นเกมส์บ้าง จับกลุ่มมั่วสุมกันบ้าง ผมว่าท่านเสนาบดีทั้งหลายลองก้มหน้ามามองความจริงอย่างหนึ่งที่ว่าหนังสือที่วางแผงขายตอนนี้แต่ละเล่มแพงอิ๊บอ๋าย
                เล่มบางเล่มบางประมาณเอานิ้วคีบ ปาเข้าไปเล่มละร้อยกว่าบาท เพราะต้นทุนมันสูง ไหนจะค่ากระดาษที่แพงขึ้นๆไม่มีวันยุบ ค่าลิขสิทธิ์ ค่าโน่น ค่านี่ จิปาถะ ถ้ารัฐอยากสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็กไทย ลองทำง่ายๆคือส่งเสริมให้หนังสือไทยมีต้นทุนถูกลงแค่นั้นละครับ
                รับรองหนอนหนังสือเต็มเมืองในไม่กี่ปีหรอก
                ผมเดินดูอยู่ 2 ชั่วโมงครึ่ง เลือกแล้วเลือกอีก เพราะราคาแต่ละเล่มสวนทางกับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม
                หลังจากผ่านกระบวนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้ว เหลือมาวางเช็คบิลแค่ 6 เล่ม จ่ายแบ๊งค์พันบาทไป ได้ทอนกลับมา 100 กว่าบาท
                ความฝันที่จะได้เป็นหนอนหนังสือของผมเลยต้องเลือนรางต่อไปอีก...แบบไม่มีกำหนด
                                                กุนซือ

ลมหนาว 24/10/2549


                เมื่อคืนก่อนเริ่มสัมผัสกับลมหนาวของปีนี้เป็นครั้งแรก  เหมือนกับเป็นการทักทายและเปิดประตูไฮซีซั่นของเชียงใหม่อย่างเป็นทางการเสียที
                นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ พอถึงฟดูหนาว ก็จะบรรจุชื่อเชียงใหม่ไว้ในโปรแกรมทัวร์  เพราะเสน่ห์ลมหนาวนั้นขลังไม่ใช่เล่น  ใครมาเยือน  มาสัมผัสก็มักจะติดใจกลับไปทุกครั้ง
                นักวิเคราะห์ฟันธงว่า ปลายปีนี้ เชียงใหม่จะคึกคักกับแบบสุดๆ  เม็ดเงินทั้งไทย ทั้งเทศ จะสะพัดเต็มพื้นที่ เพราะมีงานยักษ์ที่กำลังจะอวดโฉมให้คนไทยและคนต่างชาติได้ชม  คือมหกรรมพืชสวนโลก  ที่จะเปิดอย่างเป็นทางการต้นเดือนหน้า
แถมจังหวัดอื่นๆยังพลอยได้รับอานิสงส์จากงานนี้ตามไปด้วย   ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย  แม่ฮฮ่องสอน หรือว่าลำพูน  เพราะจังหวัดต่างๆเหล่านี้ถือโอกาสโปรโมท การท่องเที่ยวของจังหวัดตนควบคู่ตามไปด้วย
เรียกว่า  ไหนๆมาเที่ยวพืชสวนโลกแล้ว  ก็น่าจะหาเวลาไปเที่ยวจังหวัดใกล้เคียงไปด้วยในคราวเดียว
จังหวัดเชียงรายดูเหมือนจะหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะสามารถดูดนักเที่ยวเข้าพื้นที่ได้อย่างมากมาย  ในช่วงหนาวนี้
เช่นเดียวกับแม่ฮ่องสอน  เมืองแห่งสามหมอก ที่บรรยากาศเข้าถึงธรรมชาติ  ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวตลอดมา
ว่ากันว่า ถ้าเชียงรายมีแม่สายเป็นจุดขาย   แม่ฮ่องสอนก็จะส่งอำเภอปายเข้าประกวดแข่งขัน  เพราะปายนั้นเริ่มฮอทฮิตติดปากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ฝรั่งคนไหนขึ้นมาเที่ยวเหนือก็มักจะถามหาทางไปเที่ยวปายเพราะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ  และค่าครองชีพก็ยังถูกอีกด้วย
แต่ช่วงหลังที่ไปสัมผัสเมืองปาย  ก็ออกจะหวั่นใจอยู่ลึกๆว่า  เมืองปายกำลังโดนความเจริญเข้าไปกัดกร่อน ทำลายที่ละเล็ก ทีละน้อย  ซึ่งมันก็เป็นกฏเกณฑ์ที่หลีกเลี่ยงค่อนข้างยาก  ที่ไหนมีผู้คนไปเที่ยวมาก  ก้ต้องยอมรับภาวะเสื่อมในกาลต่อมา
จุดเที่ยวดีๆแบบนี้มีมากมาย  กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในแถบภาคเหนือตอนบน  ถ้าจะลองมีใครถือโอกาสที่มหกรรมพืชสวนโลก  เป็นศูนย์แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเชียงใหม่
                ก็น่าจะมีการวางแผนจัดทัวร์แบบครบวงจร  พาไปเที่ยวทั่วเหนือตอนบน  เพื่อให้นักเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ มองเห็นเสน่ห์ของเมอืงเหนือ  ที่ร่ำลือกันมานาน  ว่าใครมาเที่ยวแล้วต้องกลับมาเยือนอีก
                ช่วงไฮซีซั่นนี้ถือเป็นโอกาสทอง  ที่จะเอาแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและอิงแอบกับธรรมชาติของเรา  มาวางแผ่ แนะนำให้ผู้คนได้รู้จักกันครับ เผื่อว่าปีหน้าจะไม่ต้องเสียงบประชาสัมพันธ์ให้สิ้นเปลือง
                เพราะสุดยอดของการประชาสัมพันธ์คือ การประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก ครับผม
                                       กุนซือ

มาม่ากับเด็กหอ 17/10/2550


               เมื่อก่อนดัชนีวัดความเก่งเรื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล เขาดูกันที่ราคาของไข่ว่า ฟองละเท่าไหร่  ถ้าราคาไข่แพงขึ้นมาเมื่อไหร่  รับรองหนังสือพิมพ์ขึ้นพาดหัวว่า ราคาไข่พุ่งกระฉูดทันที  เพราะไข่เป็นอาหารก้นครัว ที่ต้องมีติดห้องครัวไว้
                จะเอาต้ม  จะเจียว จะทอด ก็ทำได้หลายหลาก เหมาะกับปากคนไทยนัก
                ดังนั้นเครดิตของรัฐบาลชุดที่ผ่านๆมา  ดัชนีราคาไข่  กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องบริหารให้เหมาะสม  ถูกได้ แต่ห้ามแพง เป็นเด็ดขาด เพราะอาจจสะเทือนถึงสถานภาพของรัฐบาลที่อาจจะง่อนแง่นได้
                ถ้าไข่ไก่ เป็นอาหารประจำครัวไทย  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าก็ต้องเป็นอาหารสามัญประจำเด็กหอพัก  เนื่องจากชีวิตของเด็กหอที่เป็นนักเรียน นักศึกษานั้น ต้องอยู่ห่างบ้าน เงินทองย่อมไม่ลื่นไหล เหมือนอยู่กับพ่อแม่
                ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับชีวิตให้เข้ากับธรรมชาติของเด็กหอ คือ หิวเมื่อไหร่  เงินหมด  ไม่ต้องกลัวอด  แค่ฉีกซองมาม่า
          เพื่อนผมคนหนึ่งเคยเพื่อนๆฟังในวงสนทนา ว่าบ้านเขาไม่เคยซื้อมาม่า หรือ ยำยำ เก็บไว้เลย ทุกคนในกลุ่มตะโกนแบบไม่เชื่อหู ว่าเป็นไปได้อย่างไร  ที่ในครัวของคนไทยจะปราศจากบะหมี่สะเร็จรูป 
                ชีวิตของคนไทย เลยเกี่ยวพันกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานมนาน จนกลายเป็นความเคยชิน ใครไม่เคยกิน กลายเป็นเรื่องประหลาดของสังคมไทย
          สมัยก่อนสงครามการค้าระหว่างบะหมี่สำเร็จรูปในเมืองไทยนั้น ห้ำหั่นกันอยู่แค่ 2 ค่ายคือ ยำยำ กับ มาม่า  ต่างฝ่ายต่างขุดกลยุทธทุกอย่างเพื่อช่วงชิงตลาดมาเป็นของตนเองมาให้มากที่สุด
                แต่สุดท้าย มาม่า ก็คว้าหัวปลาไปกิน เป็นยักษ์ใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในประเทศไทย  โดยมีมาม่า หมูสับ เป็นขุนพลหลัก ที่ทำให้ยำยำต้อง พ่ายศึกในครั้งนี้  วันหลังจะหยิบเรื่องราวสงครามระหว่าง 2 ค่าย มารับใช้ รับรองว่า สนุก ตื่นเต้น ชิงไหวชิงพริบ กันทุกหยด
                วันที่ 1 ธันวาคมที่จะถึงนี้  บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า  บอกว่าจะมีการปรับราคามาม่า จากซองละ 5 บาท มาเป็น ซองละ 6-7 บาท
                ข่าวนี้เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร เหมือนกับสมัยก่อนที่ราคาไข่แพง  จนผู้คนออกมาบับไล่รัฐบาล ข้อหาบริหารเศรษฐกิจผิดพลาด ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน  ฝ่ายรัฐบาลกับกรมการค้าภายใน ก็รู้ดีว่า ถ้ามาม่า ขึ้นราคาเมื่อไหร่  รับรองว่า หูร้อนถึงหูชา โดนชาวประชาด่าทั่วไทยแน่
                พยายามเบรก พยายามอ้อนวอน แต่คาดว่างานนี้คงจะไร้ผล คนไทยสาวกมาม่าทั้งหลาย เตรียมควักเงินเพิ่มแน่  กรมการค้าก็กระซิบบอกว่า อย่าพึ่งขึ้นราคาได้มั้ยอ่ะ  ขอราคาเดิมแต่ ลดปริมาณลง
                บอสใหญ่ ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ บอก ไม่ได้  เพราะลดปริมาณลง รับรองหนึ่งซองไม่มีทางอิ่ม  คนซื้อก็ต้องกิน 2 ซอง ซึ่งเป็นการผลักภาระไปให้ผู้ซื้อเพิ่มอีก  ขอขึ้นราคาอย่างเดียว ตามสภาพความเป็นจริงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น  พร้อมกับทิ้งทวนว่า มาม่า ไม่ได้ขึ้นราคามาตั้ง 10 ปีแล้ว  ทั้งหมด ทั้งปวงก็สมเหตุ สมผลด้วยประการฉะนี้แล
                งานนี้ผมว่าจะพึ่งกระพริบตานะครับ  เพราะคู่แข่งอย่างยำยำยังสงวนท่าที  เพราะอาจจะมองดูว่าเป็นโอกาสดี ถ้าจะชิงส่วนแบ่งตลาดคืน ถ้ายังกล้ำกลืนขายราคาเดิม
                อย่าลืมว่า กรณีศึกษาแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว สมัยเบียร์สิงห์ขึ้นราคา  แต่เบียร์ช้างดันสวนกระแส ลดกระหน่ำขาย 3 ขวด 100   จนในที่สุดแชมป์ยอดขายเบียร์ในไทยก็ต้องย้ายจากเบียร์สิงห์มาอยู่ที่เบียร์ช้าง จนถึงปัจจุบันนี้
                                        กุนซือ